Interstellar (Christopher Nolan / USA, UK / 2014) ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจอะไรโดยเฉพาะงานภาพที่ถึงแม้จะจัดว่าดีมีความอลังการให้เห็นบ้าง แต่ว่าปีที่แล้ว Gravity จัดเต็มทำเอาไว้ได้ดีกว่าหลายขุม แล้วมันก็ไม่ได้จัดเต็มจอ IMAX ทั้งเรื่องด้วย(ดูที่พารากอนไม่แน่ใจว่าที่อื่นเหมือนกันหรือเปล่า) ถ่ายมาเฉพาะฉากเอาท์ดอร์ในอวกาศ พวกอินดอร์ในยานในบ้านก็ลดขนาดลงมาปกติสลับกันไปมา บวกกับเวลาเต็มจอแถบซับไตเติลภาษาไทยมันก็จะไม่ย้ายตามขอบเฟรมภาพและยังอยู่ที่เดิมให้เคืองตาเล่นโดยเฉพาะเวลาในฉากอวกาศสีเข้มๆ มืดดำนี่ทำให้คำว่า Spectacular แทบจะหายไปในทันที …สปอยล์…หนังก็ดูเพลินไปเรื่อยๆ มีตัวละครที่รู้สึกว่าอะไรของมึงว้า!! เช่นตัวละครของ Jessica Chastain กับ Casey Affleck ผลัดเปลี่ยนกันให้ปวดหัว แล้วก็รู้สึกคลิเชกับเซ็ตอัพช่วงแรกๆ อยู่บ้างแต่ก็เข้าใจว่าเลี่ยงลำบาก ถ้าไม่เลี่ยงหนังอาจยาวกว่านี้แล้วคงต้องเปลี่ยนมือให้ Lav Diaz มากำกับ(แซวๆ) ส่วนตัวก็ดูไม่เบื่อแต่ก็ไม่ได้สนุกเป็นพิเศษ แต่ยังคงรักษาความน่าสนใจที่พาให้รู้สึกถึงความตื่นเต้นที่กำลังจะมา(แต่ยังไม่มาสักที)เอาไว้ได้เรื่อยๆ จนมาถึงการหักมุมที่เหมือนว่าจะทำให้คนทั้งโรงฮือฮาไม่น้อยซึ่งมาพร้อมๆ การจากไปของตัวละครของ Michael Caine และการปรากฏตัวละครของ Matt Damon ส่วนตัวชอบการเปลี่ยนผ่านของสองตัวละครนี้มากมันเหมือนเป็นตัวตายตัวแทนของคนหักหลังมนุษยชาติเหมือนกันที่นำมาตั้งคำถามสะเทือนมนุษยธรรมได้น่าสนใจดี แล้วมันก็ตลกดีที่รู้สึกว่าตัวละคร Dr.Mann ของ Matt Damon มันมีทั้งมิติที่ดีและความคลิเชในเวลาเดียวกัน แล้วคือฉากนั้นมันตลกจริงๆ แต่ก็ชอบในความเห็นแก่ตัวของมันมากๆ มันสะท้อนการสร้างความหวังความศรัทธาด้วยวิทยาศาสตร์ที่เป็นเครื่องมือให้มนุษย์ศึกษาเรียนรู้เพื่อการอยู่รอด ในมุมที่ว่าไม่ใช่โลกที่กำลังจะพินาศและไม่ใช่ความผิดพลาดทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่จะทำลายมนุษยชาติ แต่มนุษยชาติกลับ(เกือบ)ถูกทำลายด้วยการหักหลังของมนุษย์เพียงคนเดียวเสียเองได้น่าสนใจดี แล้วหนังก็ยังผลักดันต่อไปด้วยความเห็นแก่ตัวของพระเอก(Matthew McConaughey) ที่บังเอิ๊ญบังเอิญ…นำพาไปให้เจอบางอย่างที่คาดไม่ถึงถึงแม้คนทำจะสร้างคอนฟลิกต์จนยานพังให้น่าตื่นเต้นหวาดเสียวและพิศวงขนาดไหนแต่พ่อพระเอกก็รอดพ้นมาได้โดยแทบไม่มีรอยขีดข่วนและช่วยให้มนุษยชาติอยู่รอดจนกลายเป็นเสมือนวีรบุรุษ บางอย่างที่ว่าซึ่งดูเหมือน Christopher Nolan บังเอิญพาพระเอกมาเจอก็คือ 5 มิติในอวกาศนี่แหละ(มันเรียกว่าอะไรหว่า?)ทำเอาตึงไปเลยกับความประหลาดพิศดารพันลึกที่ความรู้สึกมันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างวิทยาศาสตร์หรือแฟนตาซี กระทั่งได้กลิ่นไสยศาสตร์ลอยกรุ่นอยู่หน่อยๆ ซึ่งไม่คิดว่าคนทำจะพาหนังไปไกลขนาดนี้ แต่เสียดายที่ไม่ได้พาคนดูอย่างเราตามไปด้วยได้ ในการเชื่อมโยงเรื่องราวไม่เท่าไหร่หรอกยังเข้าใจได้ แต่ความมึนงงในส่วนของตรรกะทางวิทยาศาสตร์นี่แหละที่เราต่อไม่ติดอยู่ไม่หายตั้งแต่ฉากนั้นที่รู้สึกว่ามันขี้โม้มากจนกระทั่งตอนจบฉากที่รู้สึกว่าแค่นี้เหรอวะ..พามาไกลขนาดนี้แต่จบง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอวะ? เหตุผลหนึ่งที่ไม่ได้ตื่นเต้นกับมันมากๆ คงเพราะว่าเราเคยเห็นการเชื่อมโยงมิติโลกแบบนี้มาไม่น้อยโดยเฉพาะในหนังผี หนังแฟนตาซี และหนังไซไฟลึกลับ ถ้านับเฉพาะที่ได้ดูในปีนี้จะเห็นในหนังอินดี้เล็กๆ อย่าง Mr.Jones, Plus One หนังผีกระแสหลักอย่าง Insidious2 ที่ให้ความรู้สึกประมาณฉาก 5 มิติในหนังโนแลนเรื่องนี้อยู่ แต่หนังพวกนั้นมันค่อนไปทางไสยศาสตร์ลึกลับไม่ได้จริงจังที่จะอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ ขณะที่ Interstellar มันพยายามมากๆ ที่จะอธิบายเยอะแยะมากมายเพื่อให้คนดูเออออสิ่งที่จะพาไปพบเจอแต่ละขั้นตอนด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งสุดท้ายมันพาเราไปพบกับความเชื่อคล้ายๆ กันในเรื่องมิติลึกลับที่เกี่ยวข้องกับเวลาที่มักเห็นในหนังไสยศาสตร์ที่ว่ามา แต่มันน่าสนใจมากๆ ตรงที่ว่าเราไม่ได้เออออกับหนังไซไฟอย่าง Interstellar ได้ง่ายๆ แต่กลับไหลตามตรรกะในหนังลึกลับที่ยกมาข้างต้นนั้นได้ง่ายกว่าและมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ถึงมันจะดูตลกขี้โม้โอเวอร์แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ชอบมากๆในมุมที่คนทำเหมือนจะพยายามอธิบายแฟนตาซีด้วยวิทยาศาสตร์เพื่อให้แฟนตาซีกลายเป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งมันก็น่าสนใจดี ตอนดูฉากไคลแม็กซ์ 5 มิติ นี่เราทรีตมันไปทางแฟนตาซีมากกว่าวิทยาศาสตร์ นึกถึง Harry Potter and the Prison of Azkaban มากกว่า 2001: A Space Odyssey ถึงแม้ตลอดทั้งเรื่องคนทำจะพยายามอธิบายแต่มันก็ไม่ค่อยจะเข้าหัวเราเท่าไหร่ ไม่ว่าแรงโน้มถ่วง รูหนอน หลุมดำและอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายนั้นเคยได้อ่านได้ยินมา แต่ 5 มิตินี่ยอมรับเลยว่าไม่เคยทักทายกันมาก่อน ยังดีที่การทุ่มเทของ Jonathan Nolan ที่เข้าคอร์สศึกษาเรื่องราวสัมพัทธภาพร่วม 4 ปีเพื่อมาใช้เขียนบทมันยังมีพลังทะเยอทะยานส่งให้เราเชื่อตามได้บ้าง หวังแค่ว่าที่ใส่มาจะไม่แถจนเกินงามถึงแม้ไอน์สไตน์จะบอกไว้ว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่ภายใน169 นาที ของหนังเนี่ยก็ยังไม่พอสำหรับให้จินตนาการของเรากับคนทำมันจูนเข้าหากัน…แล้วเกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้คือก่อนไปดูเพิ่งอ่าน เจน ญาณทิพย์ จบมาใหม่ๆ แล้วมันก็ยังไม่หายไปจากจินตนาการทำให้เราเผลอเอามิติทางไสยศาสตร์ไปจับไปเติมส่วนที่เราไม่เข้าใจจนมั่วไปกว่าเดิมแต่มันก็สนุกไปอีกแบบ..มีแอบคิดว่าพวกที่ตายในดาวอื่น หรือตายในอวกาศวิญญาณคนพวกนั้นจะกลับโลกได้หรือเปล่านะ? หรือต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่แถวทางช้างเผือก…ไปกันใหญ่!!! สุดท้ายความรู้สึกหลังจากดูรสชาติก็ประมาณ 2001: A Space Odyssey กับ Doraemon มาแจมกันนั่นแหละๆ…