Little Manhattan (2005) รักแรกของหัวใจสีชมพู

Untitled08155

ถ้าจะนิยามว่า Little Manhattan คือแฟนฉันฉบับอเมริกันก็คงไม่ผิดอะไรครับ เพราะโครงเรื่องน่ะมาทางเดียวกันเลย และที่สำคัญคือดูจบแล้วได้ความรู้สึกดีๆ ติดหัวกลับมาด้วย

หนังเล่าถึงความรักแบบ Puppy Love ของเก้บ (Josh Hutcherson) และโรสแมรี่ (Charlotte Ray Rosenberg) จากเพื่อนร่วมโรงเรียนที่เห็นหน้ากันมานาน แต่ไม่ค่อยได้พูดคุยกันสักเท่าไร แล้วพอพวกเขามีโอกาสได้เรียนคาราเต้ด้วยกัน ความสัมพันธ์ก็ค่อยๆ ขยับเพิ่มทีละนิดครับ จนพอรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็สนิทกันมากๆ จนเริ่มจะคิดถึงกันยามไม่เห็นหน้า แล้วเก้บก็เริ่มถามตัวเองว่า “หรือว่านี่คือความรัก?”

สิ่งแรกเลยที่ผมเป็นห่วงคือหนังจะทำออกมาได้พอเหมาะไหม เพราะเรื่องความรักของเด็กอายุ 10 ขวบนี่หากถ่ายทอดออกมาแบบผิดทิศผิดทางเดี๋ยวเด็กๆ จะกลายเป็นตัวละครที่ดูแก่แดดแก่ลมไปเสียแทน – แล้วหนังจะกลายเป็นพังไปเลย – แต่ดีครับที่หนังไม่เป็นแบบนั้น ทุกอย่างออกมาน่ารัก พอเหมาะ ได้อารมณ์หวานแบบเด็กๆ บางช่วงก็ชวนให้ขำคิกคักจั๊กกะจี้ แล้วก็ยัง Feel Good อีกต่างหาก

ที่ต้องชมเป็นอันดับต้นๆ เลยก็คือ 2 ดารานำครับ Hutcherson กับ Rosenberg ที่ตอนนั้นยังละอ่อนแสดงได้น่ารักมากๆ ดูแล้วเชื่อน่ะครับว่าพวกเขามีไมตรีที่ดีต่อกัน และพอถึงจุดที่พวกเขาทำท่าจะเป็นแฟนกัน ทั้งคู่ก็ดูมีเคมีเข้ากันแบบกำลังเหมาะ ดูเป็นคู่ที่น่ารักมาก ต่างฝ่ายต่างเอาใจใส่กัน เรียนรู้กันและกัน และมีความปรารถนาดีให้กัน เป็นอะไรที่น่ารักดีครับ

บทที่เขียนโดย Jennifer Flackett ก็ถือว่าเล่าเรื่องราวได้น่าติดตาม ระหว่างดูเราก็อยากรู้นะว่าเก้บกับโรสแมรี่จะเป็นอย่างไรต่อไป ความรักน้อยๆ ครั้งนี้ของพวกเขาจะส่งผลอย่างไรต่อตนเองบ้าง แล้วหนังยังมีพล็อตรองว่าด้วยเรื่องสายสัมพันธ์ที่กำลังง่อนแง่นของพ่อแม่เก้บอีก นี่ก็เป็นอีกปมที่หนังเล่าเหมือนเป็นองค์ประกอบเสริม แต่ไปๆ มาๆ ปมนี้ก็มีพร้อมสาระเกี่ยวกับเรื่องความรักที่สอนใจผู้ใหญ่ได้ไม่เลวเหมือนกัน

นอกจาก 2 ดาราเด็กแล้ว ก็มี Bradley Whitford และ Cynthia Nixon ในบทพ่อแม่ของเก้บ คู่นี้ก็ถือเป็นแบบอย่างความรักให้เก้บเรียนรู้ในระดับหนึ่งเหมือนกัน โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า “ความรักที่หวานจ๋อยสวยงามในยามแรกเริ่ม อาจไม่ได้มีแต่ความ Happy เสมอไป” และ “ปัญหาชีวิตคู่มักเกิดจากการที่ต่างฝ่ายต่างไม่คุยกัน แล้วมันก็ทับถม ยิ่งทับยิ่งจม จนสุดท้ายหากยังไม่คุยกันอีก ปัญหาก็จะแก้ไม่ตก และมันอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบ”

อีกหนึ่งตัวละครที่มาไม่เยอะ แต่ก็ทำให้เราจำได้คือ ราล์ฟ (รับบทโดย Willie Garson ผู้ล่วงลับ) เจ้าหน้าที่ประจำลิฟท์ในอาคารที่เก้บอาศัยอยู่ รายนี้ก็มีประสบการณ์แอบรักคนในตึกครับ ซึ่ง Garson แสดงได้น่ารักมาก โดยเฉพาะนาทีที่เขาได้รับคำตอบว่ารักของเขาจะมีหวังหรือไม่นั่น แค่ไม่กี่วินาทีแต่  Garson ก็สามารถถ่ายทอดความรู้สึกให้คนดูอย่างเราๆ สัมผัสได้ผ่านแววตาและท่าทาง – เชื่อว่าต้องมีคนเห็นใจเขาแน่นอน

Untitled08156

อีกอย่างที่ชอบคือโลเคชั่นครับ หนังถ่ายทำกันในแมนฮัตตันจริงๆ แม้ฉากหลังของเมืองจะดูวุ่นวายและเต็มไปด้วยผู้คนแค่ไหนก็ตาม แต่ยามที่หนังตั้งใจจะโฟกัสมาที่เด็ก 2 คนนี้ (ประมาณว่าโลกนี้เป็นของสองเรา) หนังก็สามารถจับภาพบรรยากาศหวานแบบเล็กๆ ใส่ลงมาได้ และหลายฉากก็เลือกได้เหมาะกับสถานการณ์ครับ เช่น มีอยู่ตอนหนึ่งที่พวกเขาทะเลาะกัน แล้วเก้บก็เลยไปเดินเตร่คนเดียวในสวนสาธารณะหลังฝนตก บรรยากาศฉากที่ว่านี่มันใช่มากๆ มันดูอึมครึมครึ้มใจได้ที่จริงๆ

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเพลงครับ เลือกมานี่ระดับเด็ดเลยล่ะ โดยเฉพาะซีนท้ายๆ ที่เราจะได้ยินเพลง The Very Thought Of You ของ Nat ‘King’ Cole, เพลง At Last ของ Etta James, เพลง In My Life เวอร์ชั่นคัฟเวอร์โดย Matthew Scannell (ฉบับเดิมเป็นของ John Lennon ครับ) และปิดท้ายตอนเครดิตขึ้นด้วยเพลง Love Grows (Where My Rosemary Goes) ของ Freedy Johnston

ทุกเพลงที่ผมกล่าวไปนี่เข้ากับฉากในหนังแบบสุดๆ บิ้วอารมณ์เราได้แบบเยี่ยมมากๆ และหนังยังมีตอนจบแบบที่ผมโปรดมากๆครับ คือมันไม่ได้จบแบบ Happy Ending แต่จบแบบ ชีวิตเดินต่อไป และทุกอย่างสวยงามที่เคยเกิดขึ้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำสีจางๆ

เจอหนังจบแบบนี้ทีไร และเจอหนังที่มาในแนว “เล่าเรื่องช่วงหนึ่งของชีวิตใครบางคน” ทีไร มันได้ใจผมทุกที… จบแบบนี้ผมชอบเรียกว่า Pretty Ending ครับ มันให้ความรู้สึกที่ Pretty จริงๆ

เกร็ดที่น่าสนใจของหนังก็คือ ในเรื่องจะมีฉากที่เด็กๆ ทั้งสองจูบกันครับ ซึ่งนั่นคือ “จูบแรก” ของจริงสำหรับพวกเขา และในเรื่องจะมีตัวละครที่เป็นฮีโร่คาราเต้ในจินตนาการของเก้บ ซึ่งตอนแรกมีการทาบทามให้หลี่เหลียนเจี๋ย (Jet Li) มาแสดงในบทนี้ครับ แต่พอดีคิวเขาไม่ว่าง ก็เลยได้ Mike Chat หรือไมเคิล จตุรัณฑ์บุตร นักแสดงและสตันท์แมนไทยลูกครึ่งอเมริกัน มารับบทแทนครับ

นี่คืองานกำกับชิ้นแรกของ Mark Levin (สามีของ Flackett ผู้เขียนบทหนังเรื่องนี้นั่นเองครับ) ที่ถัดจากเรื่องนี้เขาก็ได้โอกาสทำหนังเรื่อง Nim’s Island และเขากับภรรยายังร่วมเขียนบทหนัง The Adam Project ของ Netflix ด้วยครับ

หนังเรื่องนี้ดูแล้วมีความสุขจริงๆ ครับ มันให้ความรู้สึกดีๆ ชวนให้คิดถึงวันวานวัยหวาน และขณะเดียวกันก็ชี้ชวนให้เราทบทวนเกี่ยวกับความรักของเราด้วย

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)