แรกเริ่มเดิมที Witch Hunt จะเป็นภาคต่อของ Cast a Deadly Spell ครับ แต่ไปๆ มาๆ หนังกลายเป็นรีบูทที่ตีความเรื่องราวใหม่ ไม่ต่อเนื่องกับภาคแรก แต่ตัวเอกยังคงเป็นนักสืบเอกชนนามว่า เอช. ฟิลลิป เลิฟคราฟท์เช่นเดิม พร้อมด้วยตัวละครชื่อเดิม (แต่เปลี่ยนคนแสดง) และโลกในหนังก็ยังเป็นโลกแห่งเวทย์มนต์เช่นเคย
หนนี้เลิฟคราฟท์ (Dennis Hopper) ได้รับการว่าจ้างจาก คิม ฮัดสัน (Penelope Ann Miller) ดาราสาวชื่อดังให้ช่วยตามสืบว่าสามีของเธอ เอ็น.เจ. ก็อตลีป (Alan Rosenberg) มีเมียน้อยหรือไม่ แต่แล้วก็เกิดเหตุฆาตกรรมด้วยเวทย์มนต์ขึ้นครับ เลิฟคราฟท์เลยต้องไขปริศนา และขณะเดียวกันก็ยังต้องรับมือกับอำนาจการเมืองของท่าน ส.ว. ลาร์สัน คร็อกเกตต์ (Eric Bogosian) ที่ต้องการจะทำให้เวทย์มนต์หมดไปจากโลก
ว่าแบบไม่อ้อมค้อม ภาคแรกโอเคกว่าครับ มันกลมกล่อมกว่าในแง่ของเรื่องราว และโดยเฉพาะตัวเอกอย่างเลิฟคราฟท์ที่ดูเท่ห์และฉลาดกว่า ในขณะที่เลิฟคราฟท์เวอร์ชั่นนี้ดูธรรมดา ความกล้า ลูกบ้า และความหัวไวลดลง ส่วนหนึ่งคงเกิดจากความไม่หนักแน่นของบทด้วยครับ ภาคนี้แม้จะยังคงเขียนบทโดย Joseph Dougherty จากภาคแรก แต่หลายอย่างดูไม่ลงตัวนัก
อย่างความเก่งของเลิฟคราฟท์ก็ดูจะมาๆ หายๆ บางครั้งเหมือนจะโชว์ความเก๋าในฐานะนักสืบ อย่างตอนไปสืบร่องรอยที่บ้านตัวละครหนึ่ง ในขณะที่คนมีพลังจิตไม่สามารถอ่านอดีตของบ้านได้ (เนื่องจากมีคนใช้เวทย์มนต์ลบร่องรอยในบ้านไปจนหมด) แต่เขาก็ใช้วิธีการสืบแบบมนุษย์สามัญสังเกตร่องรอยและคาดการณ์เหตุการณ์จนสามารถสืบคดีต่อได้ ช่วงที่ว่านี่นับว่าไม่เลว
แต่บางช่วงเลิฟคราฟท์ก็ดูจะหมดความเก่งไปเสียดื้อๆ โดยเฉพาะตอนท้ายที่ดูเหมือนเลิฟคราฟท์จะเอาแต่รีรอ ไม่ได้ช่วยแก้ไขสถานการณ์สักเท่าไร ทั้งๆ ที่เหตุการณ์นั้นนับว่าคอขาดบาดตาย (เพราะเพื่อนคนหนึ่งของเลิฟคราฟท์กำลังจะถูกตัดสินโทษ) แต่เลิฟคราฟท์กลับเหมือนยืนดูเหตุการณ์เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย – และหลายช่วงในหนังก็จะเป็นแบบนี้น่ะครับ เลิฟคราฟท์ค่อนข้างช้า ไม่ทันเกมใครๆ สักเท่าไร
บรรยากาศความเป็นโลกเวทย์มนต์ในภาคนี้ก็ออกแนวยัดเยียดครับ ไม่ได้ดูกลมกลืนแบบที่ภาคแรกทำไว้ อารมณ์มันเลยลักลั่น เป็นโลกเวทย์มนต์ที่ดูไม่ค่อยจะมีมนต์ขลังเท่าที่ควร แล้วไหนจะประเด็นการต่อต้านเวทย์มนต์ของท่าน สว. ที่ดูจะมีประเด็นในช่วงแรก แต่พอเวลาผ่านไปประเด็นที่ว่าก็ถูกนำเสนอแบบงั้นๆ ไม่ได้เข้มข้นอะไร และบทจะจบก็จบง่ายๆ เรียกว่าเลิฟคราฟท์แทบไม่ต้องใช้สมองในการแก้เกมอะไรเลย เหมือนปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปตามบท แล้วเดี๋ยวอะไรๆ ก็แก้ไขได้เอง – ความสนุกเลยพลอยหดหายไปหมด
Hopper เขาก็ยังแสดงได้ดีน่ะครับ เพียงแต่บทมันไม่แน่น เลยทำให้ตัวเลิฟคราฟท์ในภาคนี้ดูอ่อนด้อยลงไป ตัวละครอื่นๆ ก็ดูไม่เด่น รายที่ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าเขาก็คงมีเพียงโครพ็อตกิน (Sheryl Lee Ralph) เพื่อนแม่มดของเลิฟคราฟท์ แต่ก็นั่นแหละครับ บทที่ไม่แน่นพลอยทำให้ความเด่นที่น่าจะมีมากของเธอพลอยลดปริมาณลงไปอย่างน่าเสียดาย และ Miller ก็ดูสวยสไตล์สาวยุค 50 รายนี้ก็ถือว่าเหมาะกับบททำนองนี้ครับ แต่ก็น่าเสียดายที่บทเธอไม่เยอะดังคาด แต่ผมชอบฉากตอนท้ายของเธอนะ เธอดูน่ารักดีจริงๆ
Bogosian ดูเหมาะดีกับบทนักการเมือง แต่บทบาทที่น่าจะเยอะของเขาก็ดูไม่เยอะเท่าไร บทจะจบก็จบ และอีกคนที่จริงๆ เลือกมาได้เหมาะมากแต่ไม่ค่อยมีพื้นที่ในหนังเท่าไรคือ Julian Sands ในบทฟินน์ จอมเวทย์อีกคนที่เกี่ยวข้องกับคดี ก่อนมาเล่นเรื่องนี้เขาเคยรับบทเป็นพ่อมดวอร์ล็อคมาก่อนใน Warlock 2 ภาคแรกครับ บอกได้เพียงว่าบทในเรื่องนั้นน่าสนใจกว่านี้เยอะ แต่ถ้าถามว่าเล่นดีไหม ผมว่าเขาก็เล่นได้ดีอยู่ครับ
หนังกำกับโดย Paul Schrader เจ้าของผลงาน Cat People และ American Gigolo แต่ส่วนใหญ่เขาจะเป็นที่จดจำในฐานะคนเขียนบท Taxi Driver, Raging Bull และ The Last Temptation of Christ มากกว่า สำหรับเรื่องนี้ถือว่าไม่ใช่งานที่น่าจดจำนักครับ หนังเดินเรื่องแบบเรื่อยๆ พลังไม่มาก ความไหลลื่นไม่เยอะ บรรยากาศและความน่าสนใจถือว่าค่อนข้างนิ่ง กลายเป็นว่าภาคแรกที่อาจจะไม่ได้เด็ดขาดอะไรมาก ดูอร่อยมากขึ้นมาเลย
ถ้าจะมีอะไรที่เข้าท่าเกี่ยวกับหนังก็คงเป็นบางประเด็นที่หนังโปรยไว้ (แบบจางๆ) น่ะครับ หนังสะท้อนว่ามนุษย์เรานำเอาเวทย์มนต์มาใช้ในเชิงโลกีย์มากกว่าจะนำมาสร้างสรรค์หรือพัฒนา นำมาใช้สนองตัณหา ปรนเปรอราคะมากกว่าจะนำมาเอื้อเฟื้อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับเพื่อนร่วมโลก ก็เป็นอะไรที่สะท้อนมิติของมนุษย์ได้ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอกน่ะครับ นำมาโปรยไว้แบบจางๆ นั่นแหละ (หรือจริงๆ อาจมีในบทเยอะ แต่โดนตัดออกหมดก็ไม่รู้เหมือนกัน)
ไม่ถึงสองดาวครับ
(5.5/10)