หนังเรื่องนี้คือหนึ่งในความผิดพลาดแห่งปีของผมเลยครับ… เปล่าครับ ไม่ใช่ดูแล้วรู้สึกพลาดนะ แต่พลาดเพราะดันไม่ได้ดูต่างหาก (ยังคงรู้สึกเศร้ามาจนถึงทุกวันนี้ 555)
พอดีช่วงนั้น Cell หนังสไตล์คล้ายๆ กันนี้ (จากงานเขียนของ Stephen King) เข้าฉายพร้อมกันน่ะครับ แล้วแทนที่จะเลือกดูเรื่องนี้ดันไปดูเรื่องนั้น ผลเลยกลายเป็นความรู้สึกพลาดมากมาย เพราะ Cell น่ะไม่ไหวอย่างแรง
ในขณะที่เรื่องนี้ บอกได้เลยครับว่าอย่างมันส์ สนุก ตื่นเต้น มีครบรส ทั้งฮา โหด เลือดสาด ลุ้นระทึก และดราม่า จัดเป็นหนังซอมบี้ที่ครบเครื่องชนิดที่คอหนังแนวนี้ห้ามพลาดเป็นอันขาด
ตัวเอกคือ ซูซุกิ ฮิเดโอะ (Yô Ôizumi) นักเขียนการ์ตูนซื่อๆ จ๋องๆ คนหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะผลงานไม่มีใครสนใจ มิหนำซ้ำคนรักยังจะมาตีจากไปอีก แต่แล้วพอเกิดเหตุเชื้อร้ายระบาดจนส่งผลให้คนทั้งเมืองเป็นซอมบี้ เขาก็เลยต้องหนีตายแบบสุดชีวิต
ใช่ครับ มันคือหนังซอมบี้ระบาด แล้วคนรอดชีวิตก็ต้องหาทางหนี หาทางเอาตัวรอด ยอมรับครับว่ามันคือสูตรเดิมๆ นะ ชวนให้นึกถึง Dawn of the Dead หรือ 28 Days Later เลย แต่หนังก็ทำออกมาสนุกมาก เอาสูตรเดิมๆ มาปรุงได้อย่างออกรสจนสุดท้ายก็ได้รสชาติในแบบของตัวเองออกมา
ช่วงต้นๆ ก็ตามสไตล์น่ะครับ ออกมาเรื่อยๆ ช้าๆ แสดงให้เห็นถึงวิธีชีวิตธรรมดาๆ ของตัวเอก แต่พอเกิดเรื่องเท่านั้นล่ะ ความน่าติดตามก็กระหน่ำมาเป็นชุดๆ เรียกว่าลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ มีช่วงพักหายใจบ้างก็ไม่มากเท่าไร และบางทีระหว่างพักหายใจนี่แหละ หนังก็ใส่ความตื่นเต้นตูมลงมาแบบคาดไม่ถึงทีเดียว
สำหรับฉากโหด ก็โหดเอาเรื่องครับ เลือดสาด หน้าเละ อวัยวะกระจุยมาเต็ม ส่วนความตื่นเต้นสยองขวัญก็ถือว่าน่าพอใจทีเดียว หลายฉากทำเอาสะดุ้งเลยเหมือนกัน ในขณะที่อารมณ์ขันก็มาแบบเรื่อยๆ พอให้คลายอารมณ์บ้าง ยิ่งพากย์ไทยโดยพันธมิตรก็ยิงมุกลงมาเป็นระยะครับ แต่รู้สึกดีมากๆคือการยิงมุกถือว่ายิงแบบพอดี และพอเหมาะกับหนัง ไม่ได้ยิงเยอะจนเลอะเทอะจนหนังเสียกระบวนแต่อย่างใด
ในแง่ความสยองตื่นเต้น หนังทำได้ดีครับ ขณะเดียวกันหนังก็ไม่ลืมที่จะเล่นกับประเด็นที่ว่า “บางครั้งคนก็น่ากลัวไม่แพ้ซอมบี้” ยิ่งคนที่ขาดสติ หรือบ้าอำนาจเนื่องจากโลกไร้ขือแป คนพวกนี้ก็นับว่าก่ออันตรายให้กับคนอื่นได้ไม่แพ้พวกซอมบี้ที่ไล่แฮ่อยู่รอบๆ เลยล่ะ
แต่จุดที่ผมชอบมากๆ คือหนังมีการเติบโตของตัวละครครับ ซึ่งก็คือพ่อตัวเอกของเรานี่แหละ จากเดิมที่ตอนต้นๆ เขาโดนคนดูถูกหรือไม่ก็โดนเมินใส่จนตัวเขารู้สึกไร้ค่าและหมดความมั่นใจลงทุกขณะ ทว่าพอผ่านเหตุการณ์นรกแตกแบบนี้ ก็เหมือนเขาได้เรียนรู้ที่จะปลุกความมั่นใจของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง
ส่วนสำคัญที่เขาลุกขึ้นมาเป็นประหนึ่งฮีโร่ดังที่ชื่อเรื่องบอกก็เพราะมีคนเชื่อในตัวเขาน่ะครับ จุดนี้มันสื่อแบบตรงๆ เลยนะว่าคนรอบข้างมีส่วนต่อจิตใจของเราเสมอครับ หากเรามีคนรอบตัวให้กำลังใจและแสดงความเชื่อมั่นในตัวเราอยู่เสมอๆ เราก็จะมีพลังสู้ชีวิตต่อ แม้จะต้องเจอกับวันอันมืดมนก็ตาม
แต่ในทางกลับกัน หากคนรอบตัวเอาแต่กดเราไว้ เอาแต่พร่ำบอกว่าเราไร้ค่า เรามันไม่เอาไหน เราทำอะไรก็ไม่สำเร็จหรอก ฯลฯ แม้เราจะพยายามพูดเพื่อให้กำลังใจตัวเองแค่ไหน แต่มันก็ย่อมมีวันที่เราหมดไฟ วันที่เราไม่เหลือเชื้อไฟไว้เติมพลังให้ตัวเองอีก
ผมเลยชอบประเด็นง่ายๆ ที่จริงๆ ผมว่าสำคัญนะ สำคัญมากต่อการใช้ชีวิตทุกวันนี้ นั่นคือการที่เรารู้จักให้กำลังใจกัน ช่วยกันประคองเมื่อล้ม หรือต่อให้เราไม่ให้กำลังใจใคร แต่อย่างน้อยหากเราไม่ทำให้ใครหมดพลังใจ ไม่ซ้ำเติมคนห้อในวันอันมืดมน แค่นั้นก็นับว่าดีอย่างยิ่งแล้ว
สำหรับผมหนังสนุกเลยครับ เอามาเข้าพวกกับ Dawn of the Dead, I Am Legend, Zombieland และซีรี่ส์ The Walking Dead ได้เลยดูแล้วไม่ผิดหวัง ผมเองยังอยากดูซ้ำอีกเลยครับถ้ามีโอกาส เพราะมันได้ใจจริงๆ แม้หลายอย่างจะเดาได้ แต่การเดินเรื่องมันเพลินครับ มันทำให้เราสนุกกับการเสพหนัง จนเราลืมที่จะเดาเรื่องไปเลย
ย้ำอีกทีนะครับ ถ้าใครรักหนังแนวนี้ จัดเรื่องนี้ไปเลยครับ อย่าพลาดเชียว ^_^
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)