Broadcast News (1987) บรอดคาสท์ นิวส์ คนข่าวค้นหัวใจ

Untitled04453

หลังจากผู้กำกับ James L. Brooks คว้า 5 ออสการ์จากเรื่อง Terms of Endearment แล้วเขาก็พักงานทำหนังไปหลายปีเลยครับ และนี่ก็คือหนังเรื่องแรกที่เขาทำหลังจากได้ออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมมาครองในคราวนั้น

Brooks เขียนบทเรื่องนี้เองครับ ตอนแรกเขาตั้งใจจะให้ Debra Winger (ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วจาก Terms of Endearment) มาแสดงนำ เนื้อหาจะว่าด้วยงานหลังกล้องของคนทำข่าว และตัวเอกก็จะเป็นหญิงแกร่งผู้อยู่หลังกล้องรายการข่าว ซึ่ง Brooks เขียนโดยได้แรงบันดาลใจมากจากชีวิตจริงของ Susan Zirinsky โปรดิวเซอร์สาวแกร่งของรายการข่าวช่อง CBS

ทีนี้พอบทเสร็จหนังก็พร้อมถ่ายทำ แต่พอดีว่า Winger ตั้งครรภ์ครับ ทำให้เธอต้องเดินออกจากโปรเจคท์ไป และทีมงานก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาแคสติ้งดารามารับบทนำแทนเธอ ซึ่งดาราที่อยู่ในลิสต์ก็มี Sigourney Weaver, Judy Davis, Elizabeth McGovern, Christine Lahti และ Elizabeth Perkins แต่ก็ยังไม่ถูกใจ Brooks จนมาถึง Holly Hunter นี่แหละครับ Brooks ถึงจะรู้สึกว่าใช่ ซึ่ง Hunter ก็ได้บทไปก่อนที่หนังจะเปิดกล้องแค่ 2 วันเท่านั้น

แต่แม้เวลาจะจำกัดแค่ไหน Hunter ก็เต็มที่กับงานครับ เธอหาเวลาว่างไปทำความรู้จักกับ Zirinsky ตัวจริงเพื่อจะได้เข้าถึงบทบาทยิ่งขึ้น

หนังออกแนวชีวิตผสมเบาสมองและมีโรแมนติกเจืออยู่ด้วยครับ เรื่องความรักวุ่นๆ ของ 3 ตัวละครหลักอันประกอบด้วย เจน เครก (Hunter) หญิงแกร่ง (แต่ค่อนข้างเข้าใจยาก) ผู้คอยคุมงานหลังกล้องรายการข่าว, แอรอน อัลท์แมน (Albert Brooks) นักข่าวที่ความจำเป็นเลิศและฉลาดหัวไว แต่ด้วยความที่เขาไม่หล่อเท่าไรก็เลยไม่ค่อยได้รับการโปรโมต และอีกคนคือ ทอม กรูนิค (William Hurt) นักข่าวสุดสมาร์ททรงเสน่ห์ แต่ถ้าว่ากันถึงความสามารถและไหวพริบแล้วก็ต้องว่ากันตรงๆ ว่ามีไม่เยอะเท่าไร

หนังลงสูตรรักสามเส้าแบบเบาสมองน่ะครับ แอรอนชอบเจน แต่เจนไปชอบทอม แต่ตัวหนังจะไม่ได้เน้นเฉพาะเรื่องรักๆ อย่างเดียว แต่หนังยังนำพาเราไปรู้จักกับโลกของการทำข่าวที่บางทีก็เหมือนงานขายที่ต้องทำยอดให้ได้ตามเป้า ต้องนำเสนอข่าวแบบที่คนชอบดู (แม้ว่าบางทีมันจะไม่ใช่ข่าวที่สำคัญอย่างแท้จริงก็ตาม)

Untitled04454

ระหว่างดูผมก็นึกถึงเรื่อง Network หนังคนข่าวเหมือนกัน แต่เรื่องนั้นจะจริงจังและเข้มข้นกว่า ในขณะที่เรื่องนี้โทนจะออกมาเบาๆ ดูเพลินๆ ตามสไตล์ของ Brooks ถ้าให้ว่ากันตรงๆ แล้วแง่ของเนื้อหาอาจจะไม่ได้มีอะไรมากครับ เพราะพลังหลักๆ จริงๆ ของหนังคือฝีมือของ 3 นักแสดงนำที่เล่นได้อย่างลื่นไหล บทของพวกเขาดูมีมิติ เลือดเนื้อ และแสดงกันได้อย่างเข้าขากัน แต่ละคนรับส่งพลังกันได้อย่างพอเหมาะ จนผมไม่แปลกใจเลยที่ 3 ดารานำจะได้เข้าชิงออสการ์ครบถ้วนทุกคน และบอกได้เลยว่าถ้าหนังไม่ได้ทีมดาราที่แข็งระดับนี้ ตัวหนังเองก็อาจจะออกมาดร็อปกว่านี้ก็ได้ เพราะอย่างที่บอกครับว่าตัวบทแม้จะดี (สาขาบทก็ได้ชิงออสการ์เหมือนกัน) แต่ความแน่นก็ยังไม่มากขนาดนั้น

ครับ ผมสนุกกับหนังเพราะพลังของ 3 ดารานำ แต่หากว่ากันถึงตัวหนังจริงๆ แล้วบทก็ยังไม่เข้มสักเท่าไร ผมมองว่าสำหรับยุคสมัยที่หนังเรื่องนี้ถือกำเนิดมานั้น มันอาจมีความสดอยู่พอตัวเพราะมีหนังไม่มากเท่าไรที่เอาเรื่องของคนข่าวและเบื้องหลังการทำข่าวมานำเสนอ แต่สำหรับคนดูยุคนี้แล้ว (เช่นผมเป็นต้น) มีหนังและซีรี่ส์มากมายที่เอาเรื่องของคนข่าวมาทำในหลากแง่และหลายมุมครับ มีเยอะมากจริงๆ

ดังนั้นพอผมผ่านหนังและซีรี่ส์เหล่านั้นมามากๆ แล้วมาดูเรื่องนี้ ความรู้สึกที่มีก็อาจไม่ว้าวสักเท่าไร อันนี้ว่ากันตามตรงจากใจน่ะนะครับ เพราะดูแล้วรู้สึกเพลินเพราะ 3 ดารานำแล้วก็บทสนทนาดีๆ แต่ด้านเนื้อหาออกจะเรื่อยๆ ครับ ซึ่งอาจจะเป็นมุมมองของผมคนเดียวน่ะนะครับ เพราะตัวหนังได้รับคำชื่นชม จนปัจจุบันก็ยังมีคนยกย่องในหลายสถาบัน

จุดนี้ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งครับว่าบางทีหนังที่คนนิยมหรือยกย่องว่าคลาสสิก เราก็อาจจะรู้สึกเฉยๆ ก็ได้ โดยเฉพาะหนังเก่าที่ถูกสร้างขึ้นก่อนเราจะเกิดหรือตั้งแต่เรายังเด็ก มองในแง่หนึ่งแล้วมันก็คือหนังและวิธีการเล่าเรื่องของคนรุ่นหนึ่ง ในขณะที่เราก็อาจจะถือได้ว่าเป็นคนอีกรุ่นหนึ่งที่โตมากับสภาพแวดล้อมอีกสไตล์หนึ่ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกครับหากเราจะจูนหนังของคนบางรุ่นไม่ติด (เหมือนหนังที่เราบอกว่าสุดยอดมากๆ แต่คนอื่นมาดูแล้วบอกว่าเฉยๆ นั่นแหละครับ มันเป็นเรื่องปกติจริงๆ)

สำหรับหนังเรื่องนี้ ผมดูได้เรื่อยๆ ครับ แต่ก็อาจจะไม่ได้ชอบอะไรมาก แต่ผมชอบการแสดง และชอบบทสรุปของเรื่องที่มันดู Real ในระดับหนึ่ง มันดูเป็นเรื่องราวของชีวิตคนจริงๆ ที่จับต้องได้น่ะครับ คือในชีวิตจริงนั้นมันอาจจะไม่ได้ Happy Ending แบบสุดๆ แบบเทพนิยาย และอาจจะไม่ได้โศกโคตร Sad Ending แบบโศกนาฏกรรม ส่วนใหญ่มันจะอยู่แถวๆ ตรงกลางที่มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีผสมๆ กัน

ซึ่งผมรู้สึกว่า Brooks มักจะชอบทำหนังแล้วจบแบบนี้ครับ “จบแบบชีวิตต้องเดินต่อไป” และมันจะมีทั้งอารมณ์สุขกับเศร้ามากลั้วๆ กัน ซึ่งผมว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผลงานเขาครับ

โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้ก็น่าดูครับ งานแสดงดีมาก และโทนเรื่องก็ดี เนื้อหาแม้จะไม่สุดยอดแต่ก็มีประเด็นมากพอที่จะทำให้หนัังเรื่องนี้น่าสนใจไปจนจบได้

และเกร็ดเล็กๆ ของหนังเรื่องนี้คือ Jack Nicholson โผล่มาแสดงในบทรับเชิญแบบไม่เอาค่าตัวด้วยครับ เป็นนักข่าวช่วงไพรม์ไทม์คนดังของสถานี

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)