เกมหักเหลี่ยมเฉือนคม (2018) Project Gutenberg

Untitiled05394

ได้ยินกิตติศัพท์มาว่าหนังชุดนี้มีดีใช้ไดก็เลยรอดูอยู่พักหนึ่งครับ (เพราะตอนที่รู้ หนังยังไม่เข้าไทย) ครั้นพอได้ดูก็ยอมรับเลยครับว่าของเขาดีจริง ดูสนุกในระดับที่น่าพอใจทีเดียว

เรื่องราวว่าด้วยการตามล่าแก๊งปลอมธนบัตรที่หัวหน้าใหญ่ของแก๊งมีฉายาว่า The Painter (โจวเหวินฟะ) ชายลึกลับที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้า นอกจากหลี่หมาน (กั๊วฟู่เฉิง) จิตรกรมือดีที่เคยร่วมงานกับ The Painter มาก่อน ทางตำรวจก็เลยพาตัวหลี่หมานมาเพื่อสอบสวนครับ

แล้วในที่สุด The Painter จะโดนจับได้หรือไม่ คำตอบก็รออยู่ในหนังครับ

ตัวหนังรสเข้มกำลังดีเลยครับ บอกได้เลยว่าเป็นหนึ่งในหนังจีนแนวแอ็กชันระทึกขวัญที่ทำออกมาได้น่าติดตาม งานโปรดักชั่นต่างๆ นับว่าถึงฟอร์ม ส่วนเรื่องดารานี่หายห่วงเลยครับดูแค่ โจวเหวินฟะ กับ กั๊วฟู่เฉิง 2 คนก็คุ้มแล้ว ส่วนดาราสมทบรายอื่นๆ ก็เสริมความเข้มให้กับหนังได้ดี จนพูดได้เต็มปากว่าหนังเขามีดีอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ

ผมค่อนข้างชอบหนังเรื่องนี้นะครับ ดูแล้วมันสนุกเพลิน บอกตรงๆ ว่าผมชอบดูหนังแนวนี้ของฮ่องกงนะ ประเภทสืบสวนตามปมระทึกขวัญแบบ 2 คน 2 คม (Infernal Affairs) ซึ่งจริงๆ มีการทำออกมาเยอะอยู่ แต่ที่ดูแล้วได้ใจจริงๆ นี่มีนับเรื่องได้เลยครับ ส่วนใหญ่หนังแนวนี้ (ที่ไม่ค่อยเวิร์ก) มักจะมีปัญหาในการเล่าเรื่อง พวกการทิ้งปม (ทำให้ความน่าติดตามไม่มาก) แล้วก็การเดินเรื่องที่บางทีก็สะเปะสะปะ ใส่เนื้อหาที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องลงมาให้รุงรัง (จนทำให้คนดูหลุดโฟกัสไป) เลยทำให้แม้หนังจะมาพร้อมดาราระดับพระกาฬ ก็ไม่สามารถช่วยหนังได้ ตัวหนังเลยกลายเป็นธรรมดาไป (แต่โปสเตอร์แต่ละเรื่องนี่จะออกแบบมาได้ดูน่าดูเสมอครับ จนผมต้องบอกตัวเองเลยว่าจะตัดสินหนังจากหน้าปกไม่ได้จริงๆ)

หนังเรื่องนี้เนื้อหาดีครับ น่าติดตาม การเดินเรื่องก็โอเค (ที่ใช้คำว่าโอเคก็เพราะส่วนที่ดูยืดๆ หรือเล่าเรื่องแบบมั่วนิดๆ ก็มีเหมือนกัน แต่ไม่เยอะเท่าไร) จนบอกได้เลยว่าใครชอบหนังแนวนี้ล่ะก็ไม่น่าจะผิดหวัง

Untitiled05392

แต่ก็มีเรื่องอยากจะเล่านิดหนึ่งครับ… คือผมน่ะดูหนังเรื่องนี้ไปเพียงรอบเดียว แต่การดูรอบแรกของผมมันเกิดความรู้สึกประหนึ่งเหมือนได้ดูเป็นรอบที่สองครับ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะผมดันรู้เฉลยของปมหลักในเรื่องตั้งแต่ต้นนั่นเอง

ที่รู้ก็เพราะผมดันไปรู้ความหมายของชื่อภาษาจีนของหนังเรื่องนี้ครับ คือพอรู้ความหมายปุ๊บแล้วเราก็รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร และอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเดาเรื่องได้เนี่ยก็เพราะจริงๆ แล้วจุดเฉลยปมหลักของหนังเรื่องเนี้ย มันเคยมีหนังเรื่องอื่นใช้มุกนี้มาแล้วครับ (อันนี้ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าหนังเรื่องไหน เพราะถ้าผมบอกไปรับรองว่าท่านจะรู้ทันที)

ดังนั้นเลยทำให้การดูหนังเรื่องนี้รอบแรกของผม มีค่าเท่ากับดูรอบสองครับ เพราะเราดันรู้อะไรๆ ซะแล้ว เลยอดไม่ได้ที่จะสังเกตตรงนั้นตรงนี้ ดังนั้นขอแนะนำเลยครับว่าพยายามอย่าแปลความหมายชื่อเรื่องภาษาจีนเป็นอันขาดครับ

แต่ถ้าถามว่ารู้จุดหักมุมแล้วทำให้หนังสนุกน้อยลงหรือเปล่า ก็ตอบได้ว่า “เปล่า” ครับ หนังยังคงสนุกและน่าติดตามอยู่ ซึ่งโดยส่วนตัวผมถือว่ามันเป็นบทพิสูจน์ความดีของหนังเหมือนกันนะครับ เพราะหนังบางเรื่องพอเรารู้อะไรๆ หมดแล้วความสนุกมันก็พลอยลดลงไป แต่กับเรื่องนี้การที่ผมได้รู้ก่อนก็ทำให้ได้อรรถรสไปอีกแบบครับ เพราะมันจะทำให้เราสนุกไปกับการจับสังเกตโน่นนี่นั่นในหนัง

และนั่นย่อมหมายความว่าตัวหนังเองก็มีดีในองค์ประกอบอื่นๆ อย่างที่ผมบอกไปตอนต้น เลยทำให้หนังยังดูสนุกอยู่แม้เราจะรู้อะไรๆ แล้วก็ตาม

นอกจากนี้หนังยังมีจุดที่ทำให้ผมชอบสุดๆ อยู่อีกอย่างครับ นั่นคือได้เห็นเฮียโจวของผมถือปืนสองมือบู๊แบบสุดเท่ห์อีกครั้ง อันนี้ปลื้มมากเพราะสำหรับผมแล้วเฮียโจวนี่แหละที่ถือปืนสองมือบู๊ได้เด็ดที่สุด แต่ก็ไม่ได้เห็นเฮียเขาในมาดนี้มาตั้งนาน ตอนไปฮอลลีวู้ดแม้จะมีบ้างแต่ก็ยังไม่เต็มอิ่ม พอมาได้ดูเรื่องนี้นี่ถึงแก่ความฟินเลยครับ ได้เห็นเฮียเขาบู๊แบบสะใจ ในหนังจะมีฉากบู๊ใหญ่ๆ อยู่ฉากหนึ่ง ฉากที่ว่านี่มีไว้โชว์เฮียโจวชัดๆ เลยครับ ทั้งกลิ้งตัว หมุนตัว ทั้งปืนเล็กปืนใหญ่ มันเป็นอะไรที่เท่ห์มากๆ สำหรับผมนี่แค่ฉากที่ว่านี่ก็คุ้มค่าแก่การดูแล้วครับ

ดังนั้นใครคิดถึงลีลาถือปืนสองมือแบบเท่ห์ๆ ของเฮียเขา ผมแนะนำเลยว่าต้องดูเรื่องนี้ให้ได้ครับ

เอาล่ะครับ สรุปแล้วผมชอบนะครับเรื่องนี้ มันอาจไม่ได้สุดยอดเท่า 2 คน 2 คม นะ แต่ก็ถือว่าน่าพอใจเอามากๆ สำหรับหนังแนวนี้ของฮ่องกง

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)


ถัดจากนี้จะมีสปอยล์นะครับ ยังไม่ได้ดูอย่าเพิ่งอ่านครับ

ผมชอบตอนจบของหนังครับ คือแม้ตัวหนังจะหักมุมด้วยมุกเดียวกับหนังเรื่องหนึ่งก็เถอะ แต่ก็ดูเหมือนผู้กำกับจะตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ก็เลยพยายามเพิ่มอะไรเข้าไปอีกสักหน่อย ให้หนังมันมีอะไรในแบบของตัวเองมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เขาเสริมเติมเข้ามานี้นี่แหละครับที่ผมรู้สึกชอบนะ

หนังเฉลยว่าแท้ที่จริงแล้วหลี่หมานนั่นแหละคือ The Painter ซึ่งอันนั้นก็จุดหักมุมหลักของหนัง แต่แล้วหนังก็มาหักมุมต่ออีกครับว่าที่หลี่หมานพูดเกี่ยวกับคนรักเก่าของตนนั้น แท้จริงมันเป็นเพียงการมโนของเขาทั้งนั้นเลย

กลายเป็นว่าผู้หญิงที่เรานึกว่าเป็นคนรักเก่าของหลี่หมานนั้น ตัวจริงของเธอนี่ไม่ได้รู้จักอะไรกับหลี่หมานเลยครับ เธอเป็นสาวข้างบ้านที่หลี่หมานเห็นอยู่ทุกวัน จนเขาแอบชอบ แอบมอง และแอบรักเธอข้างเดียวมาตลอด

ตอนแรกผมก็คิดนะ พอหนังเฉลยเรื่อง The Painter แล้วมันก็มีการดำเนินเรื่องต่อไปอีก ผมก็แอบคิดว่าจะยืดเรื่องต่อมาอีกทำไมหนอ มันจะทำให้หนังดูยืดเยื้อเสียเปล่าๆ ไหม แต่พอถึงฉากสรุปสุดท้ายเท่านั้นล่ะครับ ก็ตระหนักเลยว่าเป็นการยืดที่เข้าท่าอยู่

การหักมุมอันนี้นี่มันได้ฟีลแบบเหงาๆ นะครับ… มันทำให้รู้สึกว่าหลี่หมานนั้นมีชีวิตที่แสนกลวง ชีวิตอยู่กับการหลอกลวงและการมโน ขนาดเรื่องความรักยังต้องมาหลอกตัวเองจนส่งผลให้ชีวิตผู้หญิงอีกคนหนึ่ง (คนที่โดนศัลยกรรมใบหน้าน่ะครับ) ต้องพลอยตกนรกไปกับเขาด้วย

ความต้องการทะยานอยากของคน” นั้น ทำให้คนทำอะไรได้หลายอย่าง บางคนใช้มันเป็นแรงผลักดัน เป็นน้ำมันเครื่องที่หล่อเลี้ยงความพยายามในการสร้างความสำเร็จ แต่บางคนก็ใช้มันเป็นเหตุผลในการทำสิ่งที่ผิด ใช้มันล้างผลาญผู้อื่นเพื่อให้ตนเองได้ในสิ่งที่ต้องการ

ชีวิตของคนๆ หนึ่งจะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นกับการเลือกเดินของเขานั่นเอง และการเลือกทางเดินของคนหนึ่งคน หลายครั้งก็ส่งผลกระทบถึงชีวิตคนอื่น เกี่ยวเนื่องต่อๆ กันไปเหมือนโดมิโนล้มหนึ่งตัว ก็จะมีตัวข้างๆ ล้มไปตามๆ กัน

ส่วนหนึ่งที่สังคมโลกวุ่นวายเช่นทุกวันนี้ ก็คงเนื่องด้วยเหตุผลง่ายๆ ประการนี้เอง