ศึกทะลุฟ้า ตระกูลหยาง ดูแล้วให้ความรู้สึกที่หลากหลายครับ ถามว่าดูแล้วมันส์ไหม เพลินไหม? ก็จัดว่าตอบโจทย์ได้พอประมาณ แต่ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสัมผัสถึงความเกินความพร่องในบางช่วงบางตอน
หนังจับเอาตำนานยอดหญิงตระกูลหยางที่ร่วมกันออกรบเพื่อปกป้องบ้านเมืองหลังผู้ชายในตระกูลหยางสละชีพกันไปหมด เหลือเพียงทายาทขุนศึกหยางเหวินก่วง (Xiao Ming Yu) ซึ่งก็เป็นตำนานที่บอกเล่ากันมาแล้วหลายรอบ ทั้งหนังใหญ่และหนังจีนชุด
ผมว่าเหตุผลหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ดูแล้วมันส์ก็เพราะหนังใช้กลยุทธ์การเดินเรื่องแบบฮ่อตะบึงไปข้างหน้า เดินเรื่องไว เล่าเรื่องฉับๆ จนชวนให้นึกถึง The Dark Knight อยู่ในที มันเลยทำให้หนังดูมีแรงม้าครับ ดูมีพาวเวอร์ในตัวเอง แล้วระหว่างทางหนังก็ได้พาวเวอร์เพิ่มจากนักแสดง จากเนื้อเรื่อง จากฉากบู๊ รวมถึงอารมณ์ในบางซีนที่เค้นออกมาได้ดี
แล้วแต่ละฉากที่หนังใส่ลงมานั้นก็เป็นฉากที่มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องเกือบทั้งสิ้น ฉากประเภทกินลมชมวิวนี่ไม่มีเลยครับ ถ้าไม่ใช่ฉากรบพุ่งก็จะเป็นซีนที่มีประเด็นทางอารมณ์ เช่น ซีนที่คนในตระกูลหยางระบายความรู้สึกสูญเสีย, ซีนที่ตัวละครต้องกล้ำกลืนอะไรบางอย่าง, ซีนย้อนอดีตเล่าที่มาที่ไปของเรื่อง หรือซีนประเภทพูดปลุกเร้า ประมาณว่า “คนตระกูลหยางหลั่งเลือด ไม่หลั้งน้ำตา” อย่างที่บอกน่ะครับว่าหนังมันดูมีพาวเวอร์จริงๆ เพราะมีการใส่ฉษกสำคัญลงมาเรื่อยๆ
แต่ก็อาจเพราะการเล่าเรื่องแบบฮ่อตะบึงนี่เองครับ ที่ทำให้การเล่าเรื่องในหลายๆ วาระดูห้วน ดูเร็วไปหน่อย บางซีนหนังก็ชวนให้เราพีคทางอารมณ์โดยที่ไม่มีการบิ้วก่อน ทำให้ฉากนั้นๆ ฐานอารมณ์ยังไม่แน่นพอ – เปิดฉากมาก็บิ้วเลย – ซึ่งถ้าถามว่าพีคไหม มันก็พีคอยู่นะครับ แต่มันเป็นความพีคที่ยังไม่สุด พีคแบบมีอะไรติดขัดอยู่ในใจ
ถ้าให้เทียบเคียงเป็นหนังกำลังภายในสักหน่อยก็คงประมาณว่าเราเดินลมปราณฝึกวิชาขั้นสูงน่ะครับ แต่ลมปราณพื้นฐานมันยังไม่แน่น เลยสำแดงเดชได้ไม่สุด หรือต่อให้มันสำแดงพลังออกมาได้ ก็จะมีอะไรขัดๆ ข้องๆ จนรู้สึกได้
เลยทำให้ตระหนักครับว่าการเดินเรื่องแบบฮ่อตะบึงเร่งเร้าต่อเนื่องนี่ ไม่ใช่นึกจะทำก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ใช่นึกจะฮ่อก็ควบซะสุดซอย มันต้องเตรียมฐานให้แน่นพอทั้งในภาพเชิงรวมและในตัวฉากนั้นๆ เอง ไม่เช่นนั้นผลที่ได้มันก็อาจจะไม่กลมกล่อม อาจดูขาดๆ เกินๆ
ว่าตามจริงผมก็เพลินกับหนังอยู่ครับ รู้สึกว่ามันดูสนุกและชวนติดตาม เนื้อเรื่องเข้าท่า ฉากบู๊หลายๆ ฉากก็เข้าที การเล่าเรื่องก็ไวดี แต่พร้อมๆ กันนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่าหนังยังไม่สุด บางฉากขาด บางฉากเกิน ก็เป็นอารมณ์ที่ผสมผเสอยู่ครับ
อีกอย่างที่รู้สึกตะขิดตะขวงใจคืองานฉากตอนออกรบ หลายช่วงมันดูออกเลยว่าฉากหลังน่ะเป็น CG มันไม่เหมือนหนังจีนแนวนี้เรื่องอื่นๆ ที่มักจะถ่ายในสถานที่จริง จะกลางทะเลทราย กลางป่า หรือกลางทุ่งก็ว่ากันไป แต่มันจะดูจริง ในขณะทีเรื่องนี้บางฉากดูหลอกตาครับ เลยทำให้สะดุดทางอารมณ์ในบางจังหวะเหมือนกัน ยิ่งตอนบู๊ตอนตีกันเนี่ย บางทีความไม่เนียนของฉาก CG ก็แอบหลอกหลอนแย่งความสนใจไปจากสายตาเราไม่น้อยเหมือนกัน
ส่วนดาราในเรื่องโดยรวมก็โอเคอยู่ครับ คนที่น่าจดจำมากหน่อยก็คือ เจิ้งเพ่ยเพ่ย (Pei-Pei Cheng) ในบทสือไท้จิน (หรือเสอไท่จิน) ยอดหญิงผู้นำแห่งตระกูลหยาง มาดของเธอนี่ขลังกำลังดีครับ ตอนสั่งการก็แข็งขัน ตอนอ่อนโยนห่วงใยคนในตระกูลก็สัมผัสได้ ส่วนยอดหญิงตระกูลหยางรายอื่นๆ ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้โอเคตามที่บทจะแจกแจงไป
สำหรับบทมู่กุ้ยอิงนั้น โดยส่วนตัวรู้สึกว่าจางป๋อจือ (Cecilia Cheung) ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดครับ สีหน้าท่าทางและแววตาของเธอดูไม่แกร่งขนาดนั้น เลยทำให้บางซีนที่มีการประชันกันทางอารมณ์ระหว่างมู่กุ้ยอิงกับตัวละครอื่นมันดูไม่เข้มเต็มที่ ส่วนเยิ่นเสียนฉี (Richie Jen) ในบท หยางจงเป่า ก็มีบทไม่มากครับ และดูจะเป็นหยางจงเป่าที่ความห้าวหาญดูลดทอนยังไงก็ไม่รู้
ผมนั่งดูเรื่องนี้กับภรรยาครับ แล้วเธอก็น้ำตาซึมสลับน้ำตาไหลทั้งเรื่องเลย ซึ่งผมก็เข้าใจนะ เพราะโดยเนื้อเรื่องและสารที่หนังพยายามสื่อให้เรารู้น่ะ มันค่อนข้างมีพลัง มันคือการต่อสู้ขั้นสุดของหญิงม่ายผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลขุนศึกคู่บ้านคู่เมือง ว่าตามจริงแล้ววิบากกรรมตระกูลหยางนี่ฟังกี่ทีก็รันทดครับ พยายามสู้เพื่อบ้านเมืองแทบตาย แต่ผลที่ได้มีแต่เสียกับเสีย ทว่าคนในตระกูลก็ยังสู้ต่อไป ยังทำเพื่อบ้านเมืองต่อไป ผมเองระหว่างดูก็ยังอึ้งทางอารมณ์เลยครับ เพราะคนตระกูลหยางนี่น่าเห็นใจมากๆ แล้วก็เป็นนักสู้ที่น่าชื่นชมแบบสุดๆ
มีอยู่อย่างหนึ่งที่หากเป็นสมัยก่อนผมอาจจะไม่ชอบเท่าไร นั่นคือตัวละครทรราชย์ประเภทรักตัวกลัวตาย ทำทุกอย่างเพื่อขวางตระกูลหยางไม่ให้สร้างความชอบ เป็นตัวละครที่น่าหมั่นไส้ครับ สมัยก่อนนี่ไม่สบอารมณ์กับฉากแบบนี้เลย แต่คงเพราะทั้งดูทั้งอ่านเรื่องของตระกูลหยางมาชิน จนจำสูตรได้ว่าเดี๋ยวมันต้องมีตัวละครกังฉินมาสร้างอุปสรรคให้ตระกูลหยางแน่นอน แล้วมันก็มาจริงๆ 555 แต่ก็ยังดีครับที่ฉากแบบนั้นไม่มีมากจนเกินไป และในท้ายที่สุดแล้วเจ้าขุนนางกังฉินนั่นก็โดนซัดซะหงอไปเลย สะใจดี
โดยรวมแล้วผมว่าหนังก็โอเคครับ ส่วนหนึ่งคงต้องอยู่ที่เราจะโฟกัสกับอะไรด้วย หากโฟกัสที่เรื่องราว โฟกัสที่สารหลักของหนัง แล้วมองผ่านองค์ประกอบที่อ่อนด้อยต่างๆ หนังก็พอดูได้อยู่ครับ
สองดาวครับ
(6/10)