Plan 75 พูดถึงอนาคตอันใกล้ เมื่อญี่ปุ่นประสบปัญหาผู้สูงอายุล้นประเทศ ทำให้รัฐบาลต้องแบกภาระอันหนักอึ้ง และคนหนุ่มสาวต้องคอยมาดูแลคนกลุ่มนี้ นำมาซึ่งปัญหาสังคมมากมายก่ายกองเกินคาดเดา
ฉากเปิดเรื่อง เรียกว่าว่าช็อคคนดูกันตั้งแต่เริ่มแรก แม้ว่ามันจะไม่ได้โฉ่งฉ่าง แต่บรรยากาศความเงียบเชียบ นิ่งเงียบและค่อยๆเป็นค่อยไป ยิ่งสร้างสภาวะความเป็นคลื่นใต้น้ำให้กับผู้ชมอยู่ตลอดเวลา ว่าสุดท้ายมันจะบิดเกลียวและโยนอะไรมาปะทะใส่ผู้ชม
หนังเล่าเรื่องของตัวละครทั้งผู้สูงอายุและคนหนุ่มสาว สภาวะที่ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากับ ความสัมพันธ์ รวมไปถึงวิธีการรับมือกับชีวิต เมื่อวันหนึ่ง มิจิ แม่บ้านทำความสะอาดโรงแรมต้องบีบให้เผชิญหน้ากับช่วงบั้นปลายชีวิตในแบบที่เธอเองก็คาดไม่ถึง มิจิจึงสินใจจะเข้าร่วมโครงการ Plan 75 นั่นคือการที่ผู้สูงอายุที่วัยเกิน 75 ปีต้องเลือกจะยอมปลิดชีวิตของตัวเอง เพื่อแลกกับสวัสดิการก่อนตาย ไม่ว่าจะเป็นเงินก้อนหนึ่งเพื่อสนองความสุขก่อนลาจากโลกนี้ไป รวมไปถึงสิทธิการจัดงานศพฟรี สิทธิการเข้าพักและจากไปในโรงแรมระดับห้าดาว และยังได้รับการยกย่องว่าพวกเขาคือบุคคลที่ยอมสละชีวิตเพื่อให้ประเทศชาติได้ไปต่อตามเกียรติที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนานของประเทศญี่ปุ่น
การหยิบเอาประเด็นเรื่องการจากไปด้วยการุณยฆาตหรือการเลือกที่จะตายโดยสมัครใจ ถือเป็นแนวคิดที่ช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ กำลังได้รับความสนใจ ว่าถ้าหากมนุษย์เรามีโอกาสที่จะเลือกวันตายของตัวเองได้ แท้ที่จริงแล้วคนเราอยากจะตายจริงหรือเปล่า แล้วเหตุผลอะไรที่จะทำให้เราเลือกตัดสินใจเช่นกัน การที่ผู้ชมได้ตามติดชีวิตของมิจิ (จิเอโกะ ไบโช) แม่บ้านทำความสะอาดโรงแรม ซึ่งมีชีวิตโดดเดี่ยวหลังจากที่สามีของเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว แม้เธอจะมีเพื่อนสนิทในวัยไล่เลี่ยกัน แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่เพื่อนใกล้ตัวได้เสียชีวิตตามอายุไขด้วยการหมดลมหายใจคาโต๊ะอาหารที่บ้าน เลยกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอเข้าร่วมโครงการ Plan 75
อันที่จริงหนังไม่ได้โฟกัสอยู่แค่ตัวละครมิจิคนเดียว ยังมีตัวละครอื่นๆเช่นเจ้าหน้าที่รับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการ Plan 75 (ฮายาโตะ อิโซมุระ) ได้พบว่าคุณลุงของตัวเองได้เข้าร่วมโครงการนี้ พนักงานคอลเซนเตอร์ (ยูมิ คาวาอิ) ที่ได้นัดพบกับมิจิเพื่อพาเธอไปย้อนวันวานในลานโบว์ลิ่ง และมาเรีย (สเตฟานี อาริอาน) แรงงานต่างด้าวชาวฟิลิปปินส์ผู้เดินทางมาทำงานในสถานที่ลาโลกของผู้เข้าร่วมโครงการ Plan 75
Plan 75 อาจจะไม่ใช่หนังที่เร้าอารมณ์ หรือฟูมฟายกระชากน้ำตา แต่ความนิ่งเงียบ เนิบช้าของมัน เรียกได้ว่าเมื่อทุกอย่างเดินทางมาสู่จุดพลิกผันของแต่ละสถานการณ์ เล่นเอาคนดูจุกตายคาจออยู่เหมือนกัน