เรื่องย่อ: เจิด นักศึกษากฎหมายต้องกลับมาทำหน้าที่สัปเหร่อแทนพ่อที่ป่วย ในขณะที่เซียงและชาวคณะไทบ้านต้องเผชิญหน้าวิญญาณเฮี้ยนของใบข้าวที่ตายทั้งกลมตั้งแต่หนังภาคก่อน
ความรู้สึกระหว่างดูคือ ทุกปีจะมีเปิดให้เสนอชื่อหนังไทยขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติ ส่วนตัวที่สนับสนุนกิจกรรมนี้ในทุกปีคิดว่าในอนาคตไม่ว่าใกล้หรือไกล หนังเรื่องนี้น่าจะได้บรรจุเป็นมรดกของชาติแน่นอน เพราะคุณค่าในการบันทึกคติหรือวัฒนธรรมในห้วงเวลาหนึ่งที่ยุคเก่าและยุคใหม่ปะทะกันได้อย่างสร้างสรรค์น่าสนใจ และยังเก็บภาพของพิธีกรรมความตายของไทยไว้อย่างที่หนังน้อยเรื่องจะพูดถึง
หนัง ‘สัปเหร่อ’ ได้มองผ่านสายตาของตัวละครใหม่ในแฟรนไชส์ ‘ไทบ้าน เดอะซีรีส์’ อย่าง เจิด (เน็ค นฤพล ใยอิ้ม – นักร้องเครือแกรมมี่โกลด์) นักศึกษากฎหมายที่ต้องกลับบ้านมาทำหน้าที่สัปเหร่อแทนพ่อศักดิ์ (อัจฉริยะ ศรีทา) ที่กำลังป่วย ซึ่งหนังจะเผยให้เรารู้ภายหลังว่าศักดิ์ป่วยจริงหรือแค่กุศโลบายของพ่อ ซึ่งเจิดต้องรับมือทั้งอาชีพที่เขาไม่ได้อยากทำ โดยตั้งคำถามกับพิธีกรรมความเชื่อเกี่ยวกับคนตาย รวมถึงคนเป็นที่ต้องจัดพิธีให้คนที่รักตามวัฒนธรรมร่วมสมัยไทยอีสาน ที่มีหลายอย่างให้ต้องสงสัยถึงเหตุผลในการกระทำ เช่น การโยนไข่หาที่เผาศพ รวมทั้งการยอมรับเรื่องราวความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทุกคนไม่เลือกเชื้อชาติ วัย เพศ หรือศาสนา
ในบางมุมมันก็ชวนนึกถึงหนังออสการ์สาขาภาษาต่างประเทศจากญี่ปุ่นอย่าง ‘Departures’ (2008) อยู่เช่นกัน ที่ตัวเอกไม่ได้เต็มใจกับอาชีพคนทำศพก่อนจะพบอะไรบางอย่างในนั้น แต่สำหรับ ‘สัปเหร่อ’ ก็มีที่ทางของตัวเองในการเล่าที่ทำให้ไม่เหมือนกับหนังเรื่องไหน มันมีทั้งความดิบในการนำเสนอภาพพิธีความตายที่บ้าน ๆ จนดูน่าตระหนก และมีความเซอร์เรียลเกินตรรกะเหตุผลปกติจะเรียกว่าความคัลต์ของบ้านเราก็ว่าได้ ซึ่งหนังก็ใช้วิธีนำเสนอให้คนดูตั้งคำถามต่อภาพตรงหน้าเอาเองบ้าง และบางทีก็ให้ตัวละครเปิดประเด็นผ่านบทสนทนาพร้อมคำอธิบายจากอีกตัวละครที่ให้แง่มุมทั้งความเชื่อและจิตวิทยาที่โอบกอดทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่อย่างเข้าใจ
มันจึงเป็นหนังที่พูดเรื่องความตายและการกล่าวถึงคนที่ตายได้อย่างมีวุฒิภาวะ อบอุ่นหัวใจไม่น้อยทีเดียว
อีกด้านหนังมีเส้นเรื่องรองเป็นเรื่องราวของ เซียง (เลขานุภาพ ศรัณย์ภัทร) ที่เกิดคำถามว่าแฟนเก่าอย่าง ใบข้าว (กัญญาวีร์ กลิ่นหอม) ที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ภาคก่อนหน้า อาจยังมีอาลัยอาวรณ์บางอย่างต้องการบอกกับเขา ทำให้เซียงออกตามหาวิธีสื่อสารกับวิญญาณใบข้าว จนได้คำแนะนำจากสัปเหร่อศักดิ์แลกเปลี่ยนกับที่เซียงต้องคอยช่วยเจิดทำหน้าที่สัปเหร่อให้ลุล่วง
ช่วงการค้นหาวิธีเข้าสู่โลกหลังความตายนี้มีความน่าสนใจในการนำเสนอภพภูมิต่าง ๆ อยู่ มันเป็นการใช้ไอเดียที่บ้าน ๆ มาก อย่างเอาเก้าอี้ไปผูกให้เหมือนลอยอยู่กลางอากาศ หรือบางทีก็ใช้การจัดแสงแบบพวกงานอินสตอลเลชันอาร์ต ในแบบที่มองแง่งานสร้างแล้วไม่ได้ยากเลย แต่มันทำได้น่าสนใจมาก ดึงความตื่นตาตื่นใจของเราได้ไม่น้อย เป็นการนำเสนอที่นึกถึงพวกหนังผีฮ่องกงสมัยก่อนที่เล่นกับการใช้เวลาหนึ่งชั่วธูป การจัดแสงเหนือจริง เทคนิคดิบ ๆ บ้าน ๆ แต่โคตรน่ากลัว ผสมกับความบ้าน ๆ แบบไทยได้โคตรดี เห็นความคิดสร้างสรรค์เต็มไปหมด
ในส่วนนี้ทำให้เรานึกถึงคำว่า Exotic มาก ในบางมุมยังรู้สึกว่าหากมันปรุงกลมกล่อมมากกว่านี้ก็อยากให้ส่งเป็นตัวแทนประเทศไทยไปนำเสนอนานาประเทศเช่นกัน
แน่นอนว่าเส้นเรื่องของเซียงที่ปล่อยวางไม่ลงทำให้เราลุ้นว่าเขาจะเป็นบ้าตามคำเตือนของสัปเหร่อศักดิ์ที่ห้ามไว้ว่าจะกลายเป็นแบบตัวละครโรเบิร์ต (ต้องเต ธิติ ศรีนวล – ที่ควบตำแหน่งผู้กำกับหนัง) ไหม บวกกับการเรียนรู้ของเจิดที่จัดการกับปัญหาของตนเอง มันก็สอดรับสอนกันและกัน ทำให้ทั้งสองเส้นเรื่องแข็งแรงขึ้นมาก
ในขณะที่ด้านความบันเทิง ทั้งจ่าลอด ป่องที่บวชเป็นพระ และบรรดาตัวละครแห่งไทบ้านทั้งหลาย เมื่อมาอยู่ในหนังผี ก็บันเทิงดี แม้จะยังไม่ได้กลมกล่อมเท่าไรนัก มีหลายจังหวะที่ยังจัดการได้ไม่แม่น แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะจากคำพูดคำจา ท่าทางของตัวละครได้ดีตลอดเรื่อง ทำให้มันเป็นหนังสปินออฟของ ‘ไทบ้าน เดอะซีรีส์’ ที่ดีที่สุดจนถึงขณะนี้ก็ว่าได้
หนังมีบทสรุปที่ดี มันมีฉากจบที่จบเรื่องราวของเจิดกับพ่อได้ดีมาก ๆ เต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่ได้ทำให้ความจริงมันสวยงามจนเรารู้สึกเอียนแต่อย่างใด และแม้คาดเดาง่ายไปสักหน่อยแต่ก็ทำให้อยากเชียร์ให้ต้องไปดูในโรงอยู่ดี ยิ่งสำหรับแฟนไทบ้านยิ่งห้ามพลาดเพราะมีการอัปเดตชีวิตของตัวละครหลักแต่ละตัวก่อนเข้าสู่ ‘ไทบ้าน เดอะซีรีส์ 3’ ที่จะมาต่อไปด้วย เป็นหนังไทยที่น่าเชียร์แห่งปีจริง ๆ