[รีวิวซีรีส์] “Mask Girl (2023)” มาสก์เกิร์ล

เรื่องย่อ คิมโมมีฝันอยากเป็นคนดัง เธอฝึกฝนทักษะที่เธอชอบมาตั้งแต่เด็ก ติดอยู่อย่างเดียวว่าเธอไม่ได้หน้าตาสะสวย จึงต้องสวมหน้ากากเป็นสาวนิรนาม ฉายา Mask Girl เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมสายหื่นในโลกออนไลน์ แต่ชะตาของเธอกลับเล่นตลกที่เกี่ยวพันกับโศกนาฏกรรมนองเลือด
จากหน้าหนังตอนแรกจะรู้สึกว่าซีรี่ย์เรื่องนี้อารมณ์คล้ายๆ 'The Naked Director' (2019) แต่เอาเข้าจริงถ้าลองดูจนจบจะรู้ว่ามันต่างกันสิ้นเชิง
เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่ยังคงเน้นย้ำว่า soft power ที่ดีต้องแข็งแกร่งจากรากฐานวรรณกรรม จะนิยาย มังงะ หรือเว็บตูนตามสมัยนิยม การสนับสนุนผลงานเหล่านี้ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายมากเท่ากับภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง และเมื่อสิ่งเหล่านี้แข็งแกร่งก็เหมือนมีงานพรีโปรดักชันที่ดี เอาไปสร้างหนังทำซีรีส์ที่ต้องใช้ทุนสูง แล้วจะเห็น Business Model หรือกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

ผู้กำกับ คิม ยองฮุน (Kim Young-Hoon) ถือว่าเป็นชื่อค่อนข้างใหม่สำหรับคอหนังคอซีรีส์แม้แต่ที่ติดตามงานของเกาหลีเองก็ตาม เขามีผลงานกำกับเท่าที่เจอเพียง 2 เรื่อง คือหนัง ‘Beasts Clawing At Straws’ (2020) ที่ไปพึ่งพิงต้นธารจากพี่ใหญ่ด้านวัฒนธรรมคอนเทนต์อย่างญี่ปุ่น ด้วยการนำนิยายแนวอาชญากรรมหลากเส้นเรื่องหลายตัวละครที่ชวนอลวนอลหม่านของอาจารย์ โซเนะ เคสุเกะ มาดัดแปลงเป็นหนังเปิดตัว ซึ่งก็เห็นเส้นสายลายมือในฐานะนักเล่าเรื่องที่สั่งสมประสบการณ์จากการเป็นนักพัฒนาคอนเทนต์ในค่ายใหญ่อย่าง CJ มาก่อนได้อย่างดี

จากผลงานเรื่องแรก จึงไม่น่าแปลกใจที่ถ้าใครกำลังมองหาเว็บตูนเกาหลีเรื่อง 'Mask Girl' ที่ดัดแปลงจากเว็บตูนเกาหลีของอาจารย์แม่หมีเอง ในช่วงปี 2015-2018 ที่มีตัวละครแนวดาร์คคอมเมดี้มากมาย มุมมองที่คล้ายกันหลาย ๆ อย่างสามารถออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ดังนั้นผู้กำกับ Kim Young-hoon ควรมีสิทธิ์เป็นคนแรก
ซีรีส์มีทั้งหมด 7 ตอน ภาคแรกเล่าผ่านสายตาของหนึ่งตัวละครต่อหนึ่งตอน เริ่มที่ตัวเอก Kim Mo Mi ที่อยากเป็นไอดอลแต่หน้าตาไม่สวย ดีที่เธอมีร่างกายที่ร้อน ดังนั้นการใช้หน้ากากเพื่อปกปิดใบหน้าและการแสดงสดทางออนไลน์จึงทำเงินและความนิยมได้มหาศาล
จริงๆแล้วเธอมีทั้งทักษะการเต้นและการร้องเพลงรวมถึงสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมด้วยวิธีที่ยอดเยี่ยม เกี่ยวกับใบหน้าเท่านั้น ที่เสียดสีความหมายของคนบันเทิงได้อย่างน่าสนใจ การซ่อนความลับในโลกหลังหน้ากากและโลกไร้หน้ากากที่เธอเป็นเพียงสาวออฟฟิศหน้าจืดชืด จึงเป็นที่มาที่ทำให้เธอเข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมสุดฮาในที่สุด
จากนั้นเราก็ได้เห็นเรื่องราวเดียวกันจากตัวละครอื่นที่สายตาของ Kimmoe ไม่เคยสังเกตเห็นตั้งแต่ต้น ทำให้คนดูเพิ่งรู้ว่าหลายเหตุการณ์ก็มีตัวละครอื่นขับตามหลังมาเช่นกัน เป็นการเปลี่ยนมุมการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาด เรื่องราวจะเล่าผ่านสายตาของตัวละครอื่น ๆ ผลัดกันไปอีกประมาณ 2-3 บท ก่อนจะเริ่มมีการเล่าเรื่องแบบไทม์แลปส์ที่เข้มข้นในช่วงครึ่งหลัง
ว่ากันถึงตอนนี้ต้องบอกว่าเป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาค่อนข้างดี สามารถกลบจุดอ่อนเดิมจากเว็บตูนที่บุคลิกตัวละครของ Kim Mimo ไม่ค่อยเป็นใจนัก ดูน่าสมเพชและดูโชคชะตาเล่นตลกกับเธอมากกว่าทำตัวเอง และด้วยพล็อตตอนต้นของซีรีส์ต้องบอกว่าใครที่ไม่ชินกับหนังแนวนี้อาจจะงงนิดหน่อยว่ามันจะออกมาอารมณ์ไหน ดาร์กๆ กวนๆ แต่มีอารมณ์ขันพอประมาณ แต่ถ้าใครเคยชินกับแนวดาร์คคอมเมดี้นี่บันเทิงมาก
ถ้าจะให้พูดถึงหนังแนวนี้คงต้องบอกว่าเป็นแนวตลกร้ายเสียดสีสังคมร่วมสมัย ด้วยพล็อตประชดประชันความหมายของแม่และลูกในเบื้องหลัง ตัวละครแต่ละตัวนำเสนอการเปิดเผยแม่ลูกที่น่าสนใจว่าเด็กที่เติบโตมาเป็นคนแบบไหนจากมุมมองของแม่ที่แตกต่างกัน ซึ่งเราอาจแบ่งแนวของซีรีส์ออกไปได้อีกตามหน้าตาของ Kimmoe ที่เปลี่ยนไปตามท้องเรื่องทั้งจากศัลยกรรมและอายุที่มากขึ้นอีก
ในตอนแรกเป็นการแสดงของ Lee Han-Byul (ลี ฮัน-บยอล) นักแสดงหน้าใหม่ที่เล่นตลกร้าย ก่อนจะโชว์จุดจบแบบระเบิดพลังจนเรารู้สึกเห็นใจเธอ เป็นหนังแนว Dark Comedy สนุกๆ ที่มีการผสมผสานระหว่างมนุษย์ประเภทต่างๆ ที่ป่วยทางจิต
ต่อมาเมื่อนักแสดงเปลี่ยนเป็นนานะ (นานะ) อดีตไอดอลจาก After School เธอกลายเป็นคิมโมมีที่ทำให้เคลิบเคลิ้มมากขึ้น แต่ก็เท่ถูกใจ ซีรีส์เปลี่ยนโทนเป็นหนังต่อต้านฮีโร่ เพราะมันเล่าถึงขั้นตอนการชดใช้ของตัวละครและเห็นความอยุติธรรมในสังคมที่เรียกว่าคุกที่หมักหมมจนเราเชียร์คิมโมเอะ ในขณะเดียวกันก็เสียดสีสังคมที่มองว่าฆาตกรต่อเนื่องหน้าตาดีเป็นไอดอลในเวลาเดียวกัน
ในขณะเดียวกัน ก็มีความตลกร้ายในการแสดงของ Yum Hye-Ran ในบท Kim Kyung Ja คุณแม่ผู้เสียสละที่ทำทุกอย่างเพื่อลูกชายของเธอ มาเป็นตัวละครตรงข้ามตัวเอกที่เราทั้งรักทั้งชังมาตลอดจนพูดไม่ได้คือตัวร้ายของเรื่อง ใครที่เคยอ่านการ์ตูนเรื่อง 'My Home Hero' น่าจะสัมผัสได้ถึงความมันในระดับเดียวกัน
และในที่สุด ซีรีส์ก็ได้เลื่อนเวลามารับบทเป็นคิมโมมิของโคฮยอนจอง ดาราสาวใหญ่ที่คว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมแห่งปีจากบทบาทของเธอในซีรีส์เรื่อง 'Son-Te' Chest Queen of Three Reigns ซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นหนังดราม่าระทึกขวัญเข้มข้นจนคิดว่าเป็นภาคต่อของหนังล้างแค้นของผู้กำกับชื่อดัง ปาร์ค ชาน-วุค (Park Chan-Wook) แต่อย่างใดใครชอบอะไรแบบนี้คงฟินมาก
นี่คือซีรีส์ที่สามารถรับชมได้ในโหมดต่างๆ และน่าชื่นชมกับกลวิธีการเล่าเรื่องอันชาญฉลาดที่พลิกแพลงแก้ไขจุดด้อยจากซีรีส์ได้ดี รวมถึงคุมธีมอารมณ์ได้อย่างกลมกล่อมชวนติดตาม มีการแสดงผ่านการพัฒนาตัวละครที่เข้มข้นของ Kimmoe ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะที่ประทับใจมากคงจะเป็นความน่าหลงใหลแต่จิตใจแย่ของนานะที่ทั้งสวย เท่ และแสดงกับตัวละครที่ช่วยทำให้หนังมีความสนุกอย่างคิมคยองจาตัวแม่ Die hard ที่ออกมาแต่ละทีมมีเรื่องราวตลอดเวลา ทั้งเปิดเผยความจริง หักมุม หลอกคนดูและตัวละครต่างๆ มากมาย แถมยังได้ข้อคิดน่าติดตามไปถกกับคนอื่นๆ อีกด้วย สนุกไม่น้อยเลย