ถ้าว่ากันในฐานะหนังภาคต่อแล้ว Ip Man 3 ถือว่าดูได้เรื่อยๆ สนุกไม่เลว แม้จะไม่กลมกล่อมเท่าภาคแรก แต่ก็ถือว่าดูสนุกพอใช้
ภาคนี้ยิปมัน (Donnie Yen) มีชื่อเสียงและเป็นที่นับถือของผู้คน แต่แล้วก็มีนายฝรั่ง (Mike Tyson) คิดจะซื้อที่ดินของโรงเรียนแห่งหนึ่งแบบไม่เกี่ยงวิธี (ว่าง่ายๆ คือจ้างอันธพาลไปก่อกวนก็เอา) ทำให้อาจารย์ยิปต้องยื่นมือเข้าขวาง
และจากเรื่องที่โรงเรียนนี้ก็ทำให้เขาได้พบกับ จงเทียนฉี (จางจิ้น) ชายอีกคนที่เป็นมวยหย่งชุน ซึ่งจะกลายมาเป็นตัวละครที่มีบทบาทในช่วงครึ่งหลัง
นอกจากนี้ก็ยังมีประเด็นอย่างเรื่องของภรรยาของอาจารย์ยิป (สง ไต้หลิน) ที่ได้เห็นหน้าสามีน้อยกว่าชาวบ้านๆ ซะอีก ซึ่งปมนี้ก็มีผลมากมายในตอนท้ายเช่นกัน
ครับ การดูภาคนี้ก็รู้สึกเหมือนดู Iron Man 2 น่ะครับ คือเครื่องเยอะ เรื่องเยอะ ซับพล็อตเยอะ แม้จะมีโครงเรื่องหลักก็เถอะ แต่การที่มีซับพล็อตเยอะ เลยทำให้หลายๆ ประเด็นที่เปิดขึ้นมาไม่ค่อยได้รับการสานต่อ
อย่างเรื่องศิษย์ชั่วอันธพาลที่คิดล้างครู ที่สุดท้ายชะตากรรมของพี่แกก็คลุมเครือ (ทั้งๆ ที่ควรจะโดนจัดให้หนัก) หรือเรื่องศิษย์ของอาจารย์ยิปที่พยายามปลูกต้นรักกับคุณครูสาว เรื่องนี้ก็หายไปเลยเหมือนกันเมื่อหนังเดินเข้าสู่ครึ่งหลัง
แต่ถ้าว่ากันถึงพล็อตหลักแล้วก็ให้อารมณ์เหมือนหนังจีน (รวมถึงหนังไทย) สมัยก่อนน่ะครับ คือเรื่องมันจะไม่ได้มีแค่ประเด็นเดียวโดดๆ (ประเภทว่า ปราบผู้ร้ายคนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ) แต่มันจะเดินเรื่องแบบ “เรื่องหนึ่งคือชนวนเหตุที่นำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง” เช่น เรื่องที่โรงเรียนนำไปสู่เรื่องของเทียนฉีและภรรยาของอาจารย์ยิป เหล่านี้เป็นต้น
ถ้าว่ากันถึงการเดินเรื่อง ก็ถือว่าไม่เลวครับ เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้ปะติดปะต่อเนียนเป็นเนื้อเดียวแบบ 2 ภาคแรก (ว่าง่ายๆ คือยังไม่เนียนหรือไม่ลงตัวนัก) เลยทำให้ความกลมกล่อมของภาคนี้ไม่เยอะเท่าที่ควร
แต่ถ้าถามว่าดูสนุกไหม ผมก็ว่ายังสนุกอยู่ครับ แอ็กชันก็ยังโอเค (แต่ลึกๆ แล้วชอบแอ็กชันภาค 1 – 2 มากกว่า มันหนักหน่วงและได้ใจกว่า – ส่วนหนึ่งอาจเพราะ 2 ภาคแรกได้ หงจินเป่า มากำกับคิวบู๊ ส่วนภาค 3 นี้เป็นผลงานคิวบู๊ของ หยวนหวู่ปิง ซึ่งจริงๆ ก็เป็นมือบู๊ระดับปรมาจารย์ทั้งคู่ครับ ปกติผมจะไม่นำมาเปรียบเทียบในลักษณะนี้ แต่อันนี้ว่ากันตามความรู้สึกครับ เพราะ 2 ภาคแรกฉากบู๊ถึงรสถึงใจกว่าจริงๆ) ฉากไฮไลท์คงหนีไม่พ้นฉากยิปมันซัดกับนายฝรั่ง ต่อด้วยหย่งชุนปะทะหย่งชุน ซึ่งก็ถือว่าไม่เสียแรงที่รอดู
สำหรับประเด็นหลักของเรื่อง ก็คือสิ่งที่หนังพยายามสอดแทรกอยู่ตลอดครับ นั่นคือการรู้จักปล่อยวาง (ประดุจลูกโป่งที่ลอยไปแล้ว ก็อย่ายึดติด แต่ไปหาลูกใหม่หรือไปทำอย่างอื่นดีกว่า)
และอีกประเด็นคือการรู้จักมองให้ชัดว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าต่อชีวิตอย่างแท้จริง มันคือชื่อเสียง? เงินทอง? ความนิยม? ครอบครัว? คุณธรรม? ฯลฯ ซึ่งมันคงแล้วแต่คนจะนิยามและค้นหากัน
ผู้ที่ค้นจนเจอ ย่อมพบวาระแห่งความสุขได้ หรือต่อให้มันยังไม่ใช่สุขแท้ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่จะนำเราไปสู่ความสุขอันแท้จริง
และผู้ที่ค้นจนพบสุขจริงๆ ที่เราต้องการ ก็จะเห็นถึงความรุงรังในชีวิต และอาจหัวเราะใส่ความรุงรังที่ว่านั้นอย่างขบขัน (หัวเราะตนเองและความรุงรังคละๆ กัน)
ไปๆ มาๆ ส่วนที่ผมชอบสุดก็คือเรื่องราวส่วนของอาจารย์ยิปกับภรรยาน่ะครับ เป็นการสานประเด็นต่อจาก 2 ภาคแรกที่เราจะเห็นกันว่าอาจารย์ยิปกับภรรยานั้นมีเวลาให้กันน้อยเหลือเกิน เพราะส่วนใหญ่อาจารย์ก็ใช้เวลาไปกับการฝึกยุทธและการประลอง ส่วนภรรยาก็อยู่แต่บ้าน เวลาจะทานข้าวหรือพูดคุยก็แทบไม่มี มาภาคนี้ประเด็นนี้ได้กลายมาเป็นหนึ่งปมหลักที่ถือว่าบอกเล่าได้อย่างพอเหมาะที่สุดแล้วครับ มันเป็นการเล่าที่มีความละมุน มีความอ่อนโยนผสมอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่เยอะไป ไม่น้อยไป
ดังนั้นหากจะมีอะไรที่ทำให้ผมนึกถึงยามพูดถึงภาค 3 นี่ ผมก็จะนึกถึงปมสามีภรรยาอันนี้ขึ้นมาเป็นอันดับแรกครับ ในขณะที่ปมการประลองตอนท้ายระหว่างอาจารย์ยิปกับจงเทียนฉีก็ดูจะไม่ขลังเท่า
สารภาพว่าผมไม่ใคร่จะชอบตัวละครจงเทียนฉีสักเท่าไร คือเขาดูเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก หลงตัวเองมากจนยากที่จะเชื่อว่ามีความดีเป็นพื้นฐานในตัวตน มันไม่เหมือนตอนดู Fearless ที่บทของฮั่วหยวนเจี่ย (Jet Li) จะมีช่วงหลงตัวเองอยู่ อันนั้นมันดูแล้วรู้สึกว่าเขาหลงตัวเองแบบสถานการณ์พาไป แบบว่าสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมให้เขาหลงระเริง แต่กระนั้นเราก็จะเห็นว่าภายในของฮั่วหยวนเจี่ยนั้นยังมีด้านดีอยู่ แต่เขาแค่หลงทาง
ทว่ากับจงเทียนฉีนี่เหมือนพี่แกคิดเห็นแก่ตัวเป็นทุนอยู่แล้วน่ะครับ คิดแบบ “ข้าจะเอา ข้าจะใหญ่ ข้าจะครอบครอง” อยู่แล้ว ว่าง่ายๆ คือพี่แกดูไม่ใช่คนหลงทาง แต่ตั้งใจจะเดินทางนี้มานานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีโอกาส และยังไม่มียิปมันเข้ามาในชีวิต แต่พอได้เจอยิปมันแล้วความอิจฉาก็บังเกิด อะไรประมาณนี้… คงเพราะแบบนี้น่ะครับผมเลยค่อนข้างรู้สึกเชิงลบกับตัวละครนี้ และพาลทำให้การดูภาคแยกของเขาพลอยสนุกน้อยลงไปด้วย
… อันนี้ึคงเป็นความผิดของผมเองล่ะกระมัง
สรุปว่าเป็นภาคต่อยิปมันที่ทำได้ไม่เลวครับ แม้จะไม่ดีมากมาย แต่ก็สมศักดิ์ศรีในระดับหนึ่ง ^_^
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)