เมื่อดูหนังมาถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกครับว่า คนดูหนังไม่เป็นน่ะไม่มีหรอก เพราะดูหนังก็เหมือนดูโขน ดูลิเก ดูโอเปร่า กินข้าว เล่นเกม ฯลฯ ทุกคนที่เสพย่อมรู้สึกต่างกันไปตามแต่ความคิดอ่าน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาหล่อหลอมมา
อย่างอาเหล่าม่าผมชอบดูงิ้ว แต่ไม่สนุกกับการดูลิเก ส่วนอาม่าผมชอบดูลิเก แต่ไม่ชอบเอาซะเลยพวกหนังฝรั่งที่ลูกๆ หลานๆ นั่งดูกัน แต่หากจะให้ท่านนั่งดูท่านก็ดู แค่ไม่รู้สึกสนุกด้วยเท่านั้นเอง
ดูน่ะดูเป็นหมดนั่นแหละครับ ใช้ตาดูหูฟังด้วยกันทั้งนั้น แต่ดูแล้วถูกจริตไหม มันก็อีกเรื่องหนึ่ง
บางคนดูหนังแนวหนึ่งเมื่อตอนเด็กแล้วไม่ชอบ แต่พอโตขึ้นดูแล้วชอบมากขึ้นก็มี หรือบางคนตอนเด็กดูการ์ตูนยังไงก็สนุก แต่พอโตแล้วความสนุกเพลิดเพลินของการ์ตูนเรื่องเดิมที่ดู อาจลดลงไป
อย่างหนังเรื่องนี้ก็เหมือนกันครับ ได้รับรางวัล ได้รับการขนานนามจากคอหนังว่าเป็นหนังดีกวีศิลป์ มีคุณค่าและสวยงามตามสไตล์ของผู้กำกับโหวเสี่ยวเชี่ยน ซึ่งคนที่ดูแล้วก็มีทั้งชอบในความสวยงามตามลีลาเชื่องช้าแต่แฝงอารมณ์ลึกๆ ของผู้กำกับอาวุโสท่านนี้ แต่ที่ดูแล้วเฉยก็มี หรือบางคนดูแล้วด่าว่าเป็นหนังขยะเลยก็มี
จนเจ๊ซูฉีเองก็ยังทนไม่ไหวออกปากโต้ตอบคนที่วิพากษ์หนังเรื่องนี้ไปว่าอย่าดูถูกหนังที่ผู้กำกับคนหนึ่งอุตส่าห์ทุ่มเททำด้วยความตั้งใจ เพียงเพราะหนังไม่ถูกใจตนเอง
ผมรู้สึกว่าโลกของการดูหนังทุกวันนี้มันควรจะเปิดกว้างขึ้นล่ะครับ เพราะความคิดเห็นจากหนังแต่ละเรื่องมันหลากหลายกว่าเดิม จากที่เมื่อก่อนเราเห็นแค่มุมมองของนักวิจารณ์เพียงหยิบมือ กับคำวิจารณ์จากเพื่อนฝูงในวงของเราแล้ว ตอนนี้เราได้เห็ลึกมากขึ้น
แต่มันก็ขึ้นกับว่าพวกเราจะพากันเปิดใจมองหนังและมองคำวิจารณ์ด้วยใจที่กว้างขึ้น หรือเราจะมาตั้งธงลงหลัก ปิดประตูใส่หน้าต่อกัน และไม่ยอมรับฟังกันมากขึ้น
ผมเชื่อว่าคนที่ดูหนังเรื่องนี้คงมีความรู้สึกต่างกันไปครับ คนที่ชอบหนังสไตล์รางวัลที่ผู้กำกับทุ่มเทตัวตนใส่ลงไปแบบเต็มที่ มีลีลาเชิงศิลป์ มีการแช่กล้องส่องภาพตัวละครในอารมณ์เหมือนสารคดีมากกว่าจะเป็นละครที่ถูกเขียนบทขึ้นมาแบบจงใจ หากคุณชอบอะไรทำนองนี้ ก็น่าจะชอบหนังเรื่องนี้
แต่หากใครไม่ชอบหนังช้าๆ ไม่ชอบหนังแช่กล้อง หรือชอบหนังที่บู๊กันชัดอย่าง Hero หรือไม่ก็ชอบหนังที่มีปมดราม่าบิ้วอารมณ์แบบชัดๆ กันไป หรือชอบดูหนังเพื่อความบันเทิงเริงใจล่ะก็ หนังเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์สำหรับท่านสักเท่าไร
อย่างที่บอกน่ะครับ ดูหนังน่ะผมว่าทุกคนดูเป็นนั่นแหละ แต่จะชอบหนังที่ดูหรือไม่มันเป็นอีกเรื่อง เหมือนคนที่บอกว่ากินทุเรียนไม่เป็นนั่นแหละ จริงๆ ถ้ากินน่ะมันกินเป็นอยู่แล้ว แค่เปิดปาก ยัดเนื้อใส่ เคี้ยวๆ ไปแล้วก็กลืนลงท้อง แค่นี้ก็จบกระบวนการแล้ว
แต่ที่ไม่กินน่ะเพราะไม่อยากกินเอง, ไม่ชอบกลิ่น, ไม่เคยกินมาก่อน หรือกินแล้วแต่ไม่ถูกปาก นั่นต่างหากที่เป็นเหตุผล
เช่นเดียวกันครับ ถ้าใครสักคนชอบดูหนังบู๊สนุกๆ หรือหนังรักเบาสมอง มันก็คือความชอบของเขา ผมเลยคิดเสมอว่าคอหนังที่ชอบหนังคุณภาพหรือหนังรางวัลก็ไม่จำเป็นต้องไปตีตราคนที่ชอบหนังเหล่านั้นแต่ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ ไม่ต้องไปบอกหรอกครับว่า “เขาดูหนังไม่เป็น” เพราะจริงๆ มันแค่ไม่แนวเขา แค่เขาไม่ชอบมันเท่านั้นแหละ
และอันที่จริงแล้ว ยิ่งคนที่ชอบหนังรางวัลไปกระทบกระเทียบคนที่ไม่ชอบหนังรางวัล มันก็ยิ่งทำให้พวกเขาไม่ชอบหนังรางวัลหนักขึ้นไปอีก ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเสียดายครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ ถ้าเราชอบหนังแนวนี้จริงๆ เราก็มาทำให้คนอื่นชอบหรืออย่างน้อยก็ “รู้จัก” หนังแนวรางวัลนี่มากขึ้น แบบนั้นน่าจะดีกว่า
เพราะแม้จะไม่ชอบ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นด่า มันก็น่าจะดีนะ ^_^
ส่วนผมนั้น ก็ชอบหนังสไตล์นี้อยู่ครับ ซึ่งความชอบที่ว่านี้ ไม่ใช่ชอบเพราะมันสนุกสนาน เข้มข้น หรือน่าติดตาม แต่ผมชอบภาพสวยๆ ที่ไม่ใช่สวยแบบตกแต่งหรือเล่นสีเชิงสัญลักษณ์อะไรมากมาย แต่มันสวยด้วยการวางองค์ประกอบของภาพ
อย่างการตั้งกล้องเอาไว้ แล้วก็ถ่ายแบบยิงยาว บางช็อตก็ถ่ายจากระยะไกลให้เราเห็นพฤติกรรมของเหล่าตัวละคร (ที่มีมากกว่า 1 คน) ในหนึ่งฉากแบบยาวๆ โดยไม่คัต คือมันดูง่ายๆ นะครับ แต่บอกตรงๆ ว่าถ้าวางช็อตกันไม่เป๊ะ ก็จบ อย่างช็อตง่ายๆ ที่คนขี่ม้ากันมาเป็นหมู่คณะ แล้วพวกเขาต้องพูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนจะแยกย้ายไปกัน คือถ้าไม่แม่นบท ภาพที่เห็นก็มีแววมั่ว ดีไม่ดีอาจจะดูเก้ๆ กังๆ กันไป
ที่ผมชอบอีกอย่างคือหนังเลือกโลเกชั่นได้เข้าท่า ในฐานะคนชอบภาพป่าเขานี่รู้สึกเลยว่าภาพป่าเขาหลายๆ ฉากมันก็คือป่าแบบที่เราเดินไปเจอได้ยามไปต่างจังหวัดน่ะครับ แต่ผู้กำกับก็วางกล้องไว้ในมุมที่เหมาะสม คือมันอาจไม่ได้สวยในเชิงศิลป์ แต่มันสวยในเชิงว่า “จับอารมณ์ของสถานที่ในฉากนั้นๆ มาใส่ลงในแผ่นฟิล์มได้” ซึ่งมันก็ไม่ใช่ของง่าย
ผมว่าการถ่ายภาพแบบประดิษฐ์น้อยๆ นี่ต้องใช้ทักษะไม่น้อยไปกว่าการถ่ายภาพให้สวยแบบเล่นแสงหรือประดิษฐ์มุมเลยครับ (หรืออาจจะมากกว่าด้วยในบางกรณี)
ในแง่การแสดง จริงๆ ก็ดูไม่มีอะไร บางคนอาจดูว่ามันแข็งๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะแอ็กติ้งมันไม่ได้เน้นชัดอะไร เหมือนเดินเรื่องดำเนินไป ตัวละครก็ใช้ชีวิตกันไป บางฉากก็เหมือนคนเดินอยู่บ้านน่ะครับ ไม่ได้แอ็กอะไรกัน ซึ่งถ้าใครไม่ชอบอะไรสไตล์นี้ ผมว่าก็คงจะรู้สึกเบื่อได้เป็นธรรมดา
หนังเรื่องนี้ผมรู้สึกชอบครับ แต่อาจไม่ได้ชอบมากมาย หรือปลื้มสุดๆ แต่ผมรู้สึกเพลินไปกับอารมณ์นิ่งๆ ของเรื่องราว, เพลินไปกับภาพสวยๆ ในหลายๆ ฉาก
จนผมอยากนิยามหนังเรื่องนี้ว่าเป็นหนังแบบ “ชมนก ชมไม้ ชมคนตาย ชมคนอยู่” ^_^
แต่บอกได้เลยครับว่าถ้าใครไม่ชอบหนังอืดช้า ก็ข้ามหนังเรื่องนี้ไปได้เลยครับ ยกเว้นถ้าใครอยาก “ลองลิ้ม” ก็ลองกันได้ เพราะผมเชื่อน่ะครับว่าหนังเรื่องนี้ต้องมีคนชอบบ้างล่ะ จริงๆ เราไม่มีทางรู้หรอกครับว่าคนๆ นั้นจะเป็นเราไหม จนกว่าเราจะได้ลองดู
ดูแล้วไม่ชอบ ก็คือไม่ชอบ ไม่ใช่ของแปลก เราก็แค่ไปดูเรื่องอื่นต่อไป
แต่ถ้าดูแล้วชอบขึ้นมา ผมว่ามันจะเป็นอะไรที่คุ้มมากๆ นะครับ เพราะถ้าหนังเรื่องนี้ทำให้คุณชอบได้ คุณจะไม่แค่ชอบ แต่จะอิ่มไปกับมัน
… เหมือนผมน่ะครับ ผมชอบะ แม้จะไม่มาก แต่ผมรู้สึกอิ่ม
และที่รู้สึกอีกอย่างคือ ผมรู้สึกถึงความตั้งใจของผู้กำกับ โหวเสี่ยวเชี่ยน ในการถ่ายทอดเรื่องราวและภาพต่างๆ ออกมา
คงจริงอย่างที่เขาว่า “ถ้าใครทำอะไรด้วยความตั้งใจจริง ยังไงๆ ก็ต้องมีใครสักคนเห็นคุณค่าบ้างล่ะ”
รู้สึกดีใจยังไงก็ไม่รู้ที่ผมได้เป็น “หนึ่งในใครสักคน” ที่ว่านั้น ^_^