ผมนี่ต้องขอบคุณเสียงลือเสียงเล่าอ้างในทางลบที่มีต่อหนังเรื่องนี้เลยครับ มันทำให้ผมลดความคาดหวังลงไปได้เยอะพอตัว ครั้นพอได้ดูจริงก็ไม่ถึงกับรู้สึกแย่อะไรมากครับ
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีเหมือนกัน (555)
เอาล่ะครับ นี่คือดาบมังกรหยกที่รีเมคมาจากฉบับปี 1993 ที่หลี่เหลียนเจี๋ยแสดงไว้ ซึ่งเวอร์ชั่นนั้นกำกับโดยหวังจิ้งและมีการวางแปลนไว้ว่าจะทำภาค 2 ต่อออกมา
แต่เนื่องจากรายได้ฉบับนั้นไม่มากเท่าที่ควร ทำเงินไปราวๆ 10 ล้านเหรียญ ในขณะที่หนังอื่นๆ ในยุคนั้นของหลี่เหลียนเจี๋ยจะอยู่ในระดับ 30 ล้านขึ้น โครงการทำภาคต่อเลยเป็นอันพับไป
แล้วเวลาก็ผ่านไปเกือบ 30 ปี โครงการนี้ถูกปัดฝุ่นขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยได้หวังจิ้งกลับมากำกับเหมือนเดิม (ร่วมกับ Kwok-Man Keung) ตอนแรกก็นึกว่าจะทำภาคต่อจากฉบับนั้นเลย แต่แล้วก็กลายเป็นรีเมคใหม่หมด ทำออกมา 2 ภาคพร้อมกัน และนี่คือภาคแรกครับ
โดยโครงเรื่องแล้วจะคล้ายกับฉบับปี 1993 ครับ ซึ่งก็ดัดแปลงจากนิยายไปหลายอย่างอยู่ แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายอย่างที่ไม่เหมือนฉบับปี 1993 ที่เห็นชัดเจนอย่างหนึ่งคือบุคลิกของเตียบ่อกี้ที่ฉบับนั้นออกแนวเจ้าคิดเจ้าแค้นและเหลิงอำนาจอยู่ในที ในขณะที่ภาคนี้เตียบ่อกี้กลับมาในโทนซื่อๆ สายบุญแบบที่เราๆ คุ้นเคย
พวกงานสร้าง ฉาก เครื่องแต่งกายนี่ถือว่ามีฟอร์มในระดับหนึ่งครับ แต่ก็ยังไม่ถึงกับอลังการ ผมว่าซีรี่ส์จีนบางเรื่องยังดูอลังการกว่าครับ (ไม่ต้องอื่นไกล ดาบมังกรหยก 2019 นี่แหละ หลายฉากออกมาเวิร์กกว่าจริงๆ)
ดาราฝ่ายชายส่วนใหญ่ก็หน้าคุ้น หลินฟง เป็นเตียบ่อกี้, กู่เทียนเล่อ เป็นเตียชุ่ยซัว, Donnie Yen เป็นจางซานฟง และสวีจิ่นเจียง เป็นเจี่ยซุ่น ในขณะที่ฝ่ายหญิงนี่ยอมรับว่าไม่คุ้นหน้าเท่าใดนัก ได้แก่ เหวินหย่งซาน (Janice Man) เป็นเตี๋ยเมี่ยง, ชิวอี้หนง (Sabrina Qiu) เป็น จิวจี้เยี๊ยก และ อวิ๋นเชียนเชียน (Yun Qianqian) เป็นเสี่ยวเจียว
ในฐานะที่เคยดูเวอร์ชั่น 1993 มาก่อนก็ยอมรับครับว่ามีความทุกข์อยู่เหมือนกัน เพราะระหว่างดูก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง 3 สาวที่เคยรับบทในเวอร์ชั่นก่อนไว้ อันได้แก่ จางเหมี่ยน, หลีจือ และ ชิวซู่เจิน ซึ่งดีกรี รัศมี และออร่าของ 3 สาวรุ่นนั้นมีมากกว่าจริงๆ
จุดที่แอบคาดหวังหน่อยๆ คือคิวบู๊ครับ ก็หวังว่าจะออกมามันส์บ้างอะไรบ้าง ส่วนผลลัพธ์ที่ออกมาก็ออกแนวเดิมตามสไตล์หนังจีน-ฮ่องกงสมัยใหม่ คือมักจะไปเน้น CG ส่วนลีลาออกหมัดหรือฟันดาบก็พอมีบ้างครับ แต่ก็ไม่ถึงกับสะใจสักเท่าไร – อันนี้ยอมรับเลยว่าในบรรดาหนังจีนยุคใหม่ที่เล่าเรื่องย้อนยุคนี่ เรื่องที่คิวบู๊น่าพอใจและน่าจดจำผมยังยกให้ ดาบปราบเทวดา (Sword Master) อยู่เหมือนเดิม
สิ่งหนึ่งที่รู้สึกตลอดการดูคือหนังยังไม่กลมกล่อมครับ เหมือนเดินเรื่องจากฉากหนึ่งไปต่ออีกฉากหนึ่งเรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยจะสอดคล้องต่อเนื่องทางอารมณ์เท่าที่ควร ซึ่งจริงๆ ปัญหานี้มีมาตั้งแต่ฉบับก่อนแล้วครับ แล้วผมว่าฉบับนี้ก็พยายามปรับปรุงแก้ไขนะ แต่กระนั้นความกลมกล่อมก็ยังพร่องอยู่ แล้วพลอยทำให้ความน่าติดตามหรือความอินในบางจังหวะยังไม่มากเท่าที่ควร
ที่ตามมาดูนี่ก็ในฐานะแฟนมังกรหยกน่ะครับ ตามดูมาทุกเวอร์ชั่นแล้ว มีทำมาอีกก็พร้อมดูอีกเสมอ ส่วนความรู้สึกก็อย่างที่บอกไปครับ คือออกแนวเฉย รู้สึกดีกับงานโปรดักชั่นในบางช่วง แล้วก็โอเคกับดาราหน้าคุ้นทั้งหลายที่ไว้ใจได้เรื่องฝีมือ จริงๆ 3 ดาราสาวในเรื่องผมว่าก็โอเคอยู่นะครับ อย่าง Janice Man ก็ดูสวยและน่ารักดี ตอนเธอทำท่างอนหรือหน้าตาร้ายๆ ก็ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย แต่ก็เหมือนว่ายังไม่สุดน่ะครับ (อย่างที่บอกน่ะครับว่าออร่ายังไม่มากเท่าดารารุ่นเก่า)
จุดที่มาพร่องจริงๆ ก็คือเรื่องบทน่ะครับ ยังไม่กลมกล่อมเท่าไรนัก ส่วนเรื่องดัดแปลงนั้นเข้าใจได้ครับ เพราะนิยายน่ะมีรายละเอียดเยอะ ใส่ทุกอย่างได้ไม่หมดหรอก ที่เราเห็นในหนังก็คือฉากใหญ่ๆ ทั้งนั้น เพียงแต่การร้อยเรียงมันยังไม่เข้าที่เท่านั้นเอง – และคิวบู๊ก็ถือว่ากลางๆ ครับ ช่วงที่บู๊ได้โอสุดก็คงต้องยกให้ตอนตีกันที่เม้งก่านั่นแหละ ในขณะที่ตอนตีกันที่บู๊ตึ้งออกจะธรรมดาไปหน่อย อีกทั้งขนาดของฉากนั้นก็ดูเล็กๆ ยังไงก็ไม่รู้ (ยกเว้นการร่ายรำไทเก๊กของ Donnie Yen ที่ถือว่ามีบารมีน่าพอใจ ตามมาตรฐานของเขา)
หนังยังมีภาค 2 ให้รอดูครับ ยังไงก็พร้อมตามดูเหมือนเดิม แต่ก็ไม่คาดหวังเหมือนเดิมครับ
ไม่ถึงสองดาวครับ
(5/10)