Thunder Force (2021) ธันเดอร์ฟอร์ซ ขบวนการฮีโร่ฟาดฟ้า

สารภาพตามตรงว่ารู้สึกเฉยกับ Thunder Force มากครับ คือจริงๆ ก็พอเดาได้ตั้งแต่ดูตัวอย่างแล้วล่ะครับว่าน่าจะเฉย แต่ก็ยังตามดูเผื่อมันจะสนุกบ้างอะไรบ้าง แต่พอได้ดูนี่กราฟมันนิ่งจริงๆ

ตัวหนังก็มาในแนวบัดดี้ซูเปอร์ฮีโร่ครับ ประมาณว่าลิเดีย (Melissa McCarthy) กับเอมิลี่ (Octavia Spencer) เคยเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่พอถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็มีเรื่องขัดแย้งให้ต้องแยกทางกันเดิน ครั้นพอโตขึ้นเอมิลี่ก็สามารถคิดค้นวิธีที่จะทำให้มนุษย์มีพลังพิเศษได้ เพื่อที่จะได้เอาพลังนั้นไปต่อสู้กับพวกวายร้ายที่มีพลังที่คอยป่วนเมืองอยู่

แต่ที่นี้ด้วยความมือซนของลิเดียก็เลยทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้่ เพราะแรกเริ่มเดิมทีเอมิลี่ตั้งใจจะใส่พลังพิเศษแบบจอมพลังกับพลังล่องหนเอาไว้ในตัวเธอ แต่ทีนี้ลิเดียได้พลังจอมพลังไปแบบไม่ตั้งใจครับ เอมิลี่เลยจำใจต้องฝึกปรือให้ลิเดียเก่งขึ้น แล้วก็ตัวเธอก็รับพลังล่องหนไป จากนั้นทั้งคู่ก็ร่วมมือกันสู้กับเหล่าร้ายที่อาละวาดหวังครองเมือง

ผมเริ่มไม่คาดหวังหนังเรื่องนี้ตั้งแต่รู้ว่าเขียนบทและกำกับโดย Ben Falcone (สามีในชีวิตจริงของเจ๊ Melissa) เพราะผลงานก่อนๆ ของเขามันไม่น่าจดจำเท่าไร ไม่ว่าจะ Tammy, The Boss และ Life of the Party แต่ละเรื่องนี่เรียกได้ว่าเป็นหนังสนุกน้อยของเจ๊ Melissa ก็ว่าได้

เรื่องนี้นี่ผมจัดว่าสนุกน้อยกว่าเรื่องเหล่านั้นอีกครับ มุกในหนังค่อนข้างนิ่ง ไม่ได้ขำอะไรสักเท่าไร และการเดินเรื่องก็ออกแนวเรื่อยๆ ไม่ได้มีจุดดึงดูดให้รู้สึกว่าน่าติดตามเลย ทั้งๆ ที่หนังเปิดปมไว้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องมิตรภาพของทั้งคู่, ความไม่จริงจังไม่หนักแน่นของลิเดีย, ปมในใจของเอมิลี่ (ที่พ่อแม่ของเธอตายเพราะโดนลูกหลงจากน้ำมือของพวกผู้ร้าย) หรือแผนชั่วของเดอะ คิง (Bobby Cannavale) ที่คิดจะครองเมือง (และครองโลกถ้าทำได้) ซึ่งปมชีวิตจริงๆ ก็สามารถสานต่อให้เกิดเรื่องราวดีๆ ได้ เช่นเดียวกับประเด็นการสู้กับผู้ร้ายก็สามารถก่อให้เกิดแอ็กชันมันส์ๆ และลุ้นๆ ได้ แต่กลายเป็นว่าหนังไปไม่สุดสักทางครับ ปมดราม่าก็ถูกเปิดไว้และพูดถึงแบบผิวๆ ส่วนด้านความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็ค่อนข้างราบเรียบ ไม่มีอะไรหวือหวาตื่นเต้นเลย

ช่วงชั่วโมงแรกของหนังนี่ยอมรับเลยว่าดูแบบอดทนพอสมควร เพราะเรื่องมันไม่ได้น่าติดตาม ความขำก็ไม่เยอะ แม้เจ๊ Melissa จะมาพร้อมลีลาแนวถนัด (คือพล่ามพูดไปเรื่อยๆ จิกกัดโน่นนี่แบบเนียนๆ) แต่บทพูดมันไม่เฉียบ ไม่ขำ และสถานการณ์มันก็ไม่ได้ขำสักเท่าไร อันนี้บอกตรงๆ เลยว่าลีลาของเจ๊เขาเคยเรียกเสียงฮาได้มากกว่านี้ครับ อย่างใน The Heat หรือ Spy ที่ผมว่าขำกว่านี้เยอะ และคนที่ผมรู้สึกเสียดายของมากๆ คือ Spencer ครับ ในแง่ฝีมือน่ะเธอไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว พิสูจน์ได้จากผลงานดีๆ จากหนังสารพัดเรื่อง แต่มาเรื่องนี้เธอแทบไม่ได้แสดงอะไรเลยครับ เหมือนโผล่มาเป็นแบ็คกราวด์ให้เจ๊ Melissa มากกว่า ดังนั้นใครที่เคยจินตนาการไว้ว่า 2 คนนี้จะเล่นคู่กันแบบคู่หูคู่ฮาก็ต้องทำใจครับ เพราะบทของ Spencer จัดว่าไม่มีอะไรเด่นเลย

ไปๆ มาๆ คนที่ผมว่าลื่นสุดคือ Jason Bateman ครับ รายนี้มาฮาแบบเนียนๆ ไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ Cannavale ที่มาร้ายแบบมีบารมีไปเรื่อยๆ 2 รายนี้จริงๆ ดูมีอะไร แต่ก็ยังไม่สุดอีกเช่นกัน และหนังยังได้ Pom Klementieff มาเสริมในบทเลเซอร์ วายร้ายพลังสายฟ้า รายนี้ก็ไม่มีอะไรเด่นเหมือนกัน (ทั้งๆ ที่ผมว่า Klementieff เล่นได้โอเคอยู่)

ไม่คาดคิดว่าจะรู้สึกนิ่งขนาดนี้จริงๆ ครับ คืออย่างน้อยก็คิดว่าน่าจะขำบ้าง แต่นี่ทุกอย่างดูเรื่อยๆ จะมีดีหน่อยก็๋ตอน 20 นาทีสุดท้าย ซึ่งดีในที่นี้ไม่ได้แปลว่าดีมากมายอะไรนะครับ แต่มันดูดีกว่าชั่วโมงแรก (หรือเพราะชั่วโมงแรกมันเรื่อยมากๆ จนทำให้ตอนท้ายที่จริงๆ ก็อาจจะดูธรรมดาหากเทียบกับหนังเรื่องอื่น กลายเป็นดูสนุกขึ้นมาหน่อยหนึ่งแทน)

ก็คงไม่ร่ายอะไรมากครับ สรุปเลยก็คือนี่เป็นหนังตลกที่อยู่ในโซน “สนุกน้อย” ของ เจ๊ Melissa ยิ่งประเด็นซูเปอร์ฮีโร่นี่ไม่ต้องพูดถึงครับ มันแทบไม่มีอะไรเลยไม่ว่าจะเรื่องแอ็กชันหรือความมันส์ความลุ้น

ดาวครึ่งครับ

(5/10)