The Quake – มหาวิบัติวันถล่มโลก

The Quake – มหาวิบัติวันถล่มโลก
— 6.5/10 —
มหันตภัยแผ่นดินไหว ที่เล่าแค่ในตึก!?

The Quake หนังภาคต่อจากเรื่อง The Wave หนังสัญชาตินอร์เวย์ที่ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา ด้วยทุนเพียงไม่เท่าไหร่ แต่ได้ภาพระดับ Hollywood ในภาคแรกนั้นนับว่าทำให้ทั้งโลกต่างจับตามองผลงานจากประเทศนอร์เวย์เลยทีเดียว และสร้างชื่อให้กับผู้กำกับอย่าง Roar Uthaug จนได้ไปกำกับหนัง Holllywood เลยทีเดียว ก่อนที่จะพังพินาศแบบสุดๆ ใน Tomb Raider เวอร์ชั่นรีเมค อีกหลายปีต่อมา ก็ได้มีบท The Quake ขึ้นมา แต่ได้เปลี่ยนมือผู้กำกับเป็น John Andreas Andersen ที่เหมือนจะดูดีกว่าภาคแรกนิดหน่อย (มั้ง)

The Quake คือเหตุการณ์เล่าต่อจากภาคแรกหลายปีต่อมา ซึ่งในจุดนี้ถ้าใครดูภาคแรกมาแล้วก็จะช่วยให้เข้าใจภาคสองตอนต้นๆ ได้นิดหน่อย ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกด้วยซ้ำ เพราะในภาคนี้ได้บอกกล่าวเล่าถึงให้เราเข้าใจได้นิดหน่อย โดยในภาคนี้เหมือนจะซวยอีกครั้งเมื่อครอบครัวพระเอกต้องมาเจอกับเหตุการณ์มหันตภัยร้ายแรงอีกครั้ง แต่ในคราวนี้ไม่ใช่สึนามิ มันคือแผ่นดินไหว

ถ้าใครคาดหวังจะได้เห็นความวิบัติแบบหนังมหันตภัยต่างๆ แบบ The Day After Tomorrow, 2012 หรือ San Andreas คงจะต้องผิดหวังกันสักหน่อย เพราะภาพความรุนแรงหรือฉากภัยพิบัติในเรื่องนี้นั้นมีแค่น้อยนิด 1-2 ฉาก เหมือนที่เห็นในตัวอย่างเท่านั้นจริงๆ เกินครึ่งเรื่องแรกหนังจะอารัมภบทถึงชีวิต ความดราม่า ของตัวพระเอกหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิในภาคแรก ความวิตกกังวล ปัญหาครอบครัว ซึ่งเอาจริงๆ มันน่าเบื่อกว่าภาคแรกเยอะมากในพาร์ทนี้ บวกกับหลากหลายเหตุการณ์ที่เข้าใจยากกว่าภาคแรก แถมยังมีตัวละครใหม่ๆ โผล่มาแบบไม่จำเป็นต้องมีก็ได้มั้ง

ถ้าใครทนความน่าเบื่อของเกินครึ่งแรกมาได้ ก็จะได้พบกับฉากภัยพิบัติเสียที (เย้~) แต่ก็อย่างที่บอกไป มันมาแปบเดียวจริงๆ นะ แต่ก็ดูน่ากลัวอลังกาลใช่เล่น ยิ่งใหญ่วินาศสันตโรกันทั้งเมือง CG นี่จัดเต็มอลังกาลงานสร้างสุดๆ ในใจตอนนั้นแอบดีใจ คิดแล้วว่ามันต้องเป็นสเกลที่กว้างกว่าภาคแรกแน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วมันกลับเล่าเรื่องราวการเอาชีวิตรอดของพระเอกและครอบครัวในตึกๆ เดียวเท่านั้น ถึงแม้มันจะเล่าในตึกๆ เดียว ตลอดครึ่งหลังมันก็มีฉากให้เราลุ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ในส่วนนี้คิดว่าทำได้ดีกว่าภาคแรกนะ ลุ้นกว่า ตื่นเต้นกว่า (แต่โดยรวมภาคแรกดูดีกว่านะ)

ในขณะที่ครึ่งหลังกำลังตื่นเต้น เหมือนกำลังทำได้ดี หนังกลับตัดจบแบบ “อ้าว! เห้ย จบละหรอ แค่นี้หรอ?” แล้วตัวละครอื่นๆ ก็ไม่พูดถึงตัดจบซะดื้อๆ อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันยังไม่ชัดเจน อะไรเป็นอะไรก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ หนังก็ปล่อยจบดื้อๆ ซะอย่างนั้น

โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกแบบ คุณนั่งเครื่องเล่นรถไฟเหาะ ที่เกินกว่าครึ่งของเครื่องเล่นนี้เป็นทางตรงไม่ลุ้น ไม่ตื่นเต้น ไม่หวาดเสียว แล้วจู่ๆ ก็มีรางเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา โค้งนู่นนี่นั่น อย่างเมามันเพียงชั่วครู่ แล้วก็จบ! พร้อมอุทานเบาๆ “อ้าว เห้ย”