The Jungle Book – เมาคลีลูกหมาป่า

The Jungle Book เมาคลี ที่ไม่ได้มีดีแค่ CG
นับว่าเป็นเรื่องที่ 4 แล้ว ที่ดิสนีย์หยิบเอา แอนิเมชั่นสุดคลาสสิคของตัวเอง นำมาปัดฝุ่นใหม่ ทำเป็น Live Action ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ฉายโรง ซึ่งหลังจากที่ Alice in Wonderland นั้นประสบความสำเร็จอย่างมากมาย

The Jungle Book เคยถูกทำมาเป็นละคร ภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่ง Animation โดยวอลล์ ดิสนีย์ นั้นเอง ออกฉายไปเมื่อปี 1967 เรื่องราวว่าด้วย เด็กชายผู้ถูกเลี้ยงในป่าโดยเหล่าฝูงหมาป่ารวมไปถึงเสือดำ และหมีบาลู โดยทีมีเสือโคร่งอย่างเชียร์ค่าน พอรู้ข่าวว่ามีการเอาลูกมนุษย์มาเลี้ยงในป่า เลยออกตามล่าเพื่อเอาชีวิตเมาคลี

เรื่องราวในเวอร์ชั่น ภาพยนตร์ เอาตรงๆก็ไม่ได้แตกต่างจากเวอร์ชั่น Animation เลยแม้แต่น้อย ดิสนีย์ยังคงคอนเซปการหยิบเอาโครงเรื่องตามเวอร์ชั่น Animation มาเป็นแกนหลัก แล้วใส่รายละเอียดให้กับส่วนต่างๆไม่ว่าจะเป็นตัวละคร วิธีการดำเนินเรื่อง ซึ่งผลที่ได้ ตัวหนังให้ความบันเทิง ซื่อตรงต่อ Animation จนน่าขนลุก และรายละเอียดต่างๆที่เพิ่มเติมเข้าไปนั้นทำให้ เมาคลีดูสมบูรณ์และมีชีวิต มากกว่าเวอร์ชั่น Animation ขึ้นไปอีก

ในด้านเทคนิคพิเศษ เป็นอะไรที่น่าตื่นตะลึงมาก เพราะเป็นการใช่ CG ล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นฉาก ตัวละครอื่นๆ ยกเว้นเมาคลีเพียงคนเดียวที่ใช้ หนูน้อย นิล เซธิ เล่นเท่านั้น เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ คือ CG เรื่องนี้จะทำให้เราตะลึงไปกับป่าดงดิบ เหมือนกับตอนที่เจมส์คาเมรอน ทำไว้ในเรื่อง Avatar เลยแบบนั้นทีเดียว

งานด้านสามมิติของเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะในยุคสมัยนี้ ที่มีหนังสามมิติเข้าฉายเป็นว่าเล่น แต่จะหาเรื่องที่งานด้านสามมิติ แยกเป็นเลเยอร์ชัดจน และมีการพุ่งทะลุจอจนต้องเอียงหัวหลบ นั้นแทบไม่ค่อยได้เห็น แต่ในเรื่องนี้ งานด้านภาพสามมิตินั้นเรียกได้ว่าโดดเด่นกว่าเรื่องอื่นๆจริงๆ การันตีเลยว่า ถ้าคุณชมในระบบ 3D หรือแม้กระทั่ง IMAX 3D จะมีอย่างน้อย 1 ฉากที่คุยต้องเผลอเอียงหัวหลบสิ่งของที่ทะลุออกมา 

โดยรวมแล้ว The Jungle Book เป็นงานมาสเตอร์พีชอีกเรื่องนึง ที่ก้าวข้ามมาตรฐานที่ดิสนีย์เคยทำไว้ในเรื่องก่อนๆ ซึ่งแอบหวั่นใจกับเรื่อง Beauty and the Beast 2017 ที่จะทำมาตรฐานได้ดีกว่านี้ ยกระดับความสนุกได้มากกว่านี้หรือเปล่า ส่วนตัวผมให้เรื่องนี้ 8.5/10 ไปเลย