The End of the Tour (2015)

MV5BMTUwODU3NjQxNF5BMl5BanBnXkFtZTgwODE2NTE4NTE@._V1_SY1000_CR0,0,674,1000_AL_

เป็นหนังอีกเรื่องครับที่ก่อร่างสร้างอารมณ์เหงา ว้าเหว่ และเดียวดายให้กับผู้ชมได้อย่างน่าสนใจ (แต่อาจไม่ใช่ทุกคนที่จะซึมลึกถึงอารมณ์เหงาแบบในหนังน่ะนะครับ)

หนังอิงจากเรื่องจริงของเดวิด ลิปสกี้ (Jesse Eisenberg) นักข่าวจากโรลลิ่งสโตนตอนที่ไปสัมภาษณ์ เดวิด ฟอสเตอร์ วอลเลซ (Jason Segel) เจ้าของผลงาน Infinite Jest นิยายที่โด่งดังมากในปี 1996 และยังได้รับการกล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้

โดยเรื่องทั้งหมดมันเริ่มต้นเมื่อตอนที่เดวิด (ลิป) ทราบข่าวว่าเดวิด (ฟอส) ฆ่าตัวตายครับ เขาเลยเอาเทปคาสแสทท์ที่อัดบทสัมภาษณ์ไว้มาเปิดฟังอีกครั้ง และเราก็จะได้พบเห็นเหตุการณ์การพบปะกันครั้งนั้นระหว่าง 2 เดวิด ผ่านเรื่องราวที่หนังเล่าครับ

บอกก่อนว่าผมไม่ได้สปอยล์นะครับ เดวิด ฟอสเตอร์ วอลเลซเสียชีวิตแล้วจริงๆ เมื่อปี 2008 และหนังก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ 5 นาทีแรก

มันเป็นหนังชีวิตครับ เรื่องของคน 2 คนที่มาเจอกัน เรียนรู้กัน เจออะไรด้วยกันในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งแน่นอนว่าเวลาเพียง 5 วันที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้นมันอาจไม่ได้ทำให้พวกเขาเข้าใจกันและกันมากมายอะไร แต่อย่างน้อยสิ่งที่พวกเขาได้เข้าใจร่วมกันคือ “ความซับซ้อนของการเป็นมนุษย์”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าการเข้าใจแบบไหนที่มันเจ๋งกว่ากัน ระหว่าง “เราเข้าใจความซับซ้อนของ “ใครสักคน” แบบทะลุปรุโปร่ง” หรือ “เราเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งว่า “คนทุกคน” ต่างก็มีความซับซ้อนเฉพาะตน”

โดยส่วนตัวผมมองว่า “แบบหลัง” ดูเป็นไปได้ที่เราจะเข้าใจมากกว่า (คือการเข้าใจและยอมรับว่าทุกคนซับซ้อน น่าจะง่ายกว่าการพยายามตั้งโต๊ะตั้งใจพิจารณาความซับซ้อนของทุกคน… และคนเรายังเปลี่ยนแปลงอยู่เสมออีกต่างหากด้วย)

บอกได้เลยครับว่าคอหนังที่ต้องการความฉับไวหรือต้องการสาระชีวิตแบบกระจ่างชัด หนังเรื่องนี้อาจไม่ได้มีให้ มันไม่ใช่หนังดราม่าที่มาพร้อมแง่คิดสวยๆ ที่เราสามารถหยิบไปใช้ในชีวิตได้อย่างง่ายๆ แต่ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนจิ๊กซอว์อีกชิ้น ที่ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งมีชีวิตที่เรียกคนมากขึ้นอีกนิด หรืออย่างน้อยก็ทำให้เรายอมรับว่า “เรายังไม่เข้าใจมนุษย์มากอย่างที่คิด”

การรู้ว่าเรายังไม่รู้ ก็ถือเป็นความรู้ชนิดหนึ่ง

การเดินเรื่องของหนังอาจไม่ได้ชวนให้ติดตามครับ พล็อตอาจจะเรื่อยๆ แต่มันพอเหมาะกับสไตล์เรื่องที่เล่าให้เราค่อยๆ รู้จักคน 2 คนตรงหน้า ซึ่งดารานำทั้งสองก็เล่นกันได้ดีครับ โดยเฉพาะ Jason Segel ที่หน้าเหมือนเดวิด (ฟอส) ตัวจริงมากๆ แทบไม่ต้องเมคอัพอะไรเลย ไว้ผมยาวๆ ก็เหมือนมากแล้ว

อย่างที่บอกครับ หนังมาพร้อมอารมณ์เหงา แต่มันไม่ใช่เหงาแบบ Lost In Translation ที่ความเหงามันชัดเจน พล็อตก็บิ้วให้เรารู้สึกเหงาได้แบบชัดๆ (เพราะพล็อตมันทำให้เราเห็นชัดๆ ว่าแต่ละตัวละครเหงาแค่ไหน อันเนื่องมาจากการอยู่คนเดียว)

แต่กับเรื่องนี้ ความเหงากลับก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่มีคน 2 คนอยู่ด้วยกันเกือบตลอด และคุยกันเกือบตลอด

ความเหงาอันเนื่องมาจากอยู่คนเดียวก็สามารถสร้างความรวดร้าวให้ใครหลายคนได้แล้ว แต่คนที่เหงาจากภายใน เหงาทั้งที่ไม่ได้อยู่คนเดียว เหงาทั้งๆ ที่เท้าเหยียบโลก แต่ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลก… นั่นคือความเหงาที่มีฤทธิ์ให้เกิดความปวดร้าวได้อย่างล้ำลึกยิ่ง

ถัดจากนี่ก็จะมีสปอยล์นะครับ ไม่อยากทราบข้ามได้ครับ เอาเป็นว่าขอสรุปสำนวนเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ไว้ว่า นี่คือหนังดราม่าสะท้อนความเหงาที่ทำได้ออกรสมากเรื่องหนึ่งครับ ก็อยากให้คอหนังดราม่าแนวนี้ได้ลองลิ้มกัน เชื่อว่าหลายท่านน่าจะถูกใจครับ (แต่ก็เชื่อว่าคงไม่ใชทุกท่านหรอกครับที่จะถูกใจ)

เอาล่ะครับ จะเข้าเขตสปอยล์ละนะครับ แต่จริงๆ ผมว่ามันไม่เชิงสปอยล์หรอก มันเป็นแนวคิดสำคัญของเรื่องราว เพียงแต่ถ้าใครอยากไปรับรู้เอง ก็ข้ามไปได้ครับ

ฉากคืนสุดท้ายที่พวกเขาได้คุยกัน ตอนที่เดวิดพูด มันทำให้ผมรู้สึกอยากโอบกอดตนเองยังไงก็ไม่รู้

เดวิด (ฟอส) ได้เล่าความรู้สึกให้เดวิด (ลิป) ฟังในคืนสุดท้ายแห่งการสัมภาษณ์ หลังจากเกิดความไม่เข้าใจกันก่อนหน้านั้น

เดวิด (ฟอส) บอกว่า ในจุดที่เราเผชิญกับวิกฤติทางจิตวิญญาณนั้น เราจะรู้ว่ากฎกติกาต่างๆ ที่เราเติบโตมากับมัน ล้วนไม่จริง… มันช่วยเราไม่ได้เสมอไปหรอก

และเมื่อเราตระหนักได้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยม่านแห่งภาพลวงตา สิ่งที่เยี่ยมที่สุดของมัน คือการที่เราได้ตื่นรู้ และเห็นว่ามันมีภาพลวงตาอยู่จริงๆ ในโลกใบนี้

แต่สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ… เราทำอะไรไม่ได้เลย… เรายังต้องอยู่ท่ามกลางโลกที่เจือด้วยความจริงและสิ่งลวงตา คนมากมายที่อยู่รอบตัวและสังคมของเราส่วนใหญ่ก็มองไม่เห็น (จึงยากที่จะเข้าใจสิ่งที่เราคิด) หรือคนที่เห็นแล้วทำเป็นไม่เห็นภาพลวงตาทั้งหลายนั่นก็มีเหมือนกัน…

พอฟังแล้วรู้สึกถึงอารมณ์ของเดวิด ฟอสเตอร์เลยครับ มันเป็นอะไรที่ยากจะกล่าว และมันไม่แปลกเลยหากคนที่รู้สึกแบบนี้จะรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ เพราะสิ่งที่เราเข้าใจนั้นมันอาจเป็นอะไรที่คนอื่นไม่เข้าใจ หรือคนอื่นพยายามที่จะไม่เข้าใจ สุดท้ายเราก็ไม่สามารถเอาเรื่องนี้ไปสนทนากับใครได้ ทีนี้มันก็ย่อมเกิดความอัดอั้น

และหากเราไม่พยายามปรับตัวให้เหมาะสม สุดท้ายเราเองนั่นแหละที่จะจมอยู่กับสภาวะเคว้งนั้น เราจะหมกมุ่นอยู่กับมัน และมันก็จะส่งผลต่อชีวิต ต่อความคิด ต่ออารมณ์ และต่อความรู้สึกของเรามากขึ้นๆ

อยากรู้เหลือเกินว่านาทีที่เดวิด ฟอสเตอร์ปลิดชีวิตตนเองลงนั้น อะไรคือสิ่งที่เขาคิด อะไรคือสิ่งทำให้เขาตัดสินใจทำมันลงไป

หนังเรื่องนี้ชวนให้เราสำรวจความคิดของคนและความเป็นไปของโลกได้อย่างน่าสนใจครับ จริงๆ มันลึกซึ้งนะ ลึกซึ้งในแง่ความหมายของเรื่องราว ลึกซึ้งสำหรับสิ่งที่เดวิด (ฟอส) คิด มันคือมุมของคนที่มองโลกจากด้านนอก ประหนึ่งว่าเดวิดเป็นคนนอกน่ะครับ แล้วก็มองสิ่งที่มันเป็นจากวงนอกนั้น

แต่ผมก็ไม่แปลกใจหากจะมีใครมองว่าการคิดของชายคนนี้ เป็นอะไรที่ดูเพ้อ คิดมากไป หรือมองว่าไร้ประโยชน์ที่จะคิด

ผมชอบเช้าวันสุดท้ายที่ 2 เดวิดได้อยู่ด้วยกันนะครับ มันเหมือนพวกเขาเข้าใจกันมากขึ้น และต่างคนต่างก็มองโลกใบเดียวกันจากมุมที่คล้ายคลึงกัน เพราะก่อนหน้านี้ เดวิด (ลิป) ก็ยังไม่เข้าใจเดวิด (ฟอส) เท่าที่ควร แต่พอผ่านอะไรมาด้วยกัน และได้ฟังเดวิด (ฟอส) ระบายความคิดให้ฟังแล้ว เขาก็เริ่มเข้าใจว่าผู้ชายคนนี้มีอะไรอยู่ในหัวกันแน่

เมื่อผมเขียนถึงตรงนี้ ผมนึกถึงคนมากมายที่อาจคล้ายเดวิด ฟอสเตอร์ เป็นคนที่มีความคิดบางอย่างที่อาจจะต่างจากคนอื่น มีมุมมองที่ต่างจากคนส่วนใหญ่ และพอเราแตกต่างจากคนอื่นมากๆ เข้า เราอาจรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา หรืออาจรู้สึกว่าตนด้อยค่า

ผมอยากบอกว่า เรามีคุณค่าเสมอครับ เพียงแต่บริบทในโลกมันไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราเป็นมันอาจจะยังไม่มีค่าเท่าไรในบริบทสังคมปัจจุบัน แต่สักวันหนึ่งสิ่งที่เราคิด มันอาจมีคุณค่าต่อสังคมหรือต่อโลกขึ้นมาก็ได้

ดังนั้นอย่าปล่อยให้ความคิดเหล่านั้นทำให้เราแปลกแยกจากโลกครับ ผมอยากให้ลองผสานมันให้เหมาะ นั่นคือเราสามารถคิดแบบที่เราคิดต่อไปได้ เราสามารถมองโลกแบบที่เรามองต่อไปได้ แต่ขณะเดียวกันเราก็ศึกษาแง่มุมอื่นๆ ควบคู่กันไป มองให้ได้หลายมุม คิดให้ได้หลายแนว

อย่าให้มุมมองใดมุมมองหนึ่งกักเราไว้ครับ เพราะถ้าเราโดนมันกักไว้นานๆ เข้า เราอาจรู้สึกแย่ รู้สึกเหงา รู้สึกไม่อยากจะอยู่ต่อไป… มันคงน่าเสียดายหากเราเลือกที่จะจากไป ทั้งที่สักวันหนึ่ง สิ่งที่เราคิดที่มันไม่เหมือนใครนั้่น อาจก่อให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมา หรืออาจจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้อย่างคาดไม่ถึง

อย่างน้อยเราประคองตนเองให้อยู่ได้ต่อไป เพื่อที่สักวันเราอาจจะเจอคนที่คิดแบบเดียวกับเรา เมื่อนั้นเราจะได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน และพยุงจิตใจของกันและกันได้ต่อไป

แด่เพื่อนมนุษย์ทุกท่านที่ไม่เคยเหมือนกันครับ ^_^

สองดาวครึ่งกว่าๆ ครับ

Star22

(7.5/10)