The Babysitter: Killer Queen (2020) เดอะ เบบี้ซิตเตอร์ ฆาตกรตัวแม่

Untitled05934

ภาคแรกผมดูแล้วรู้สึกเพลินกว่าที่คิดครับ เป็นหนังตลกร้ายปนสยองที่ทำออกมาได้น่าพอใจ ส่วนภาคต่อนี่ก็สารภาพเลยว่าผมไม่ได้ตามข่าวอะไรเลยครับ รู้ตัวอีกทีเขาก็ทำออกมาให้ดูกันแล้ว ก็เลยจัดมาดูตามระเบียบครับ

ภาคนี้เกิดหลังจากภาคแรก 2 ปีครับ ตอนนี้โคล (Judah Lewis) มาเรียนไฮสคูลแล้ว แต่ฝันสยองเมื่อ 2 ปีก่อนยังคงตามมาหลอกหลอน และที่แย่กว่านั้นคือ ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เขาพูดเลยครับ อันนำมาสู่สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ เขากลายเป็นตัวตลกในสายตาเพื่อนนักเรียน โดนล้อโดนแซวโดนจิกกัดไม่เว้นวัน

ทีนี้เมลานี่ (Emily Alyn Lind) เพื่อนของเขาก็เสนอให้เขาออกไปเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง โคลเลยยอมไปด้วยครับ ไปนั่งเรือเล่นกลางลำน้ำ แต่โคลหารู้ไม่ว่าเรื่องสยองครั้งใหม่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง

ตัวหนังนั้นมีทั้งส่วนที่เวิร์กและส่วนที่ขัดๆ ครับ ซึ่งส่วนที่ขัดนี่เดี๋ยวว่ากันทีหลัง ตอนนี้มาว่าถึงส่วนที่เวิร์กก่อน ซึ่งก็คือองค์ประกอบต่างๆ ในหนังที่หากดูแบบไม่คิดถึงภาคแรกเลย ผมมองว่าภาคนี้ดูสนุกและทำออกมาได้น่าพอใจ

สิ่งแรกที่ยังอุดมสมบูรณ์ก็คือความฮาครับ หนังยิงมุกบ่อยมาก และส่วนใหญ่จะเป็นมุกเกี่ยวกับเรื่องหนังซึ่งก็เข้าทางผมล่ะครับ บางมุกนี่ McG ผู้กำกับเรื่องนี้แอบกัดตัวเองแบบเต็มๆ (ที่พูดถึง The Terminator น่ะครับ) รวมถึงบทสนทนาแบบกัดกันไปกันมาระหว่างตัวละคร (โดยเฉพาะตัวละครฝ่ายร้าย) ซึ่งถือเป็นสีสันที่ชูรสให้หนังดูเพลินยิ่งขึ้น

สิ่งต่อมาที่ยังคงเส้นคงวาคือฉากสยองแหวะครับ ประเภทคอขาด ตัวกระจุย เลือดสาดกระจายนี่ยังมีเยอะเหมือนเดิม ดังนั้นใครไม่ชอบอะไรแบบนี้ก็อาจจะควรหลีกเลี่ยงครับ เพราะมันเลือดสาดหนักอยู่ แม้ฉากเหล่านี้จะทำออกมาในเชิงขบขันก็เถอะ แต่ก็ยังดูโหดอยู่ดี

โทนหนังภาคนี้ยังคงตลกร้ายสายโหดเหมือนเดิม แต่ฉากหลังจะเปลี่ยนไป จากที่ภาคแรกเหตุเกิดในบ้านในพื้นที่จำกัด แต่มาภาคนี้หนังออกแนวไล่ล่าครับ ไล่กันข้ามแม่น้ำข้ามภูเขา ซึ่งก็ถือเป็นการแหวกไปจากภาคแรกที่ไม่เลวเหมือนกัน

Untitled05935

ดารากลับมากันครบครับ และแต่ละคนก็แสดงได้ดีเข้ากับโทนของหนังที่ออกแนวทีเล่นทีจริง เน้นฮาแบบร้ายๆ บางมุกนี่ก็ลากยาวมาจากภาคแรก อย่างการที่แม็กซ์ (Robbie Amell) ถอดเสื้อโชว์ท่อนบนตลอด (แบบไม่มีเหตุผล) หรือจอห์น (Andrew Bachelor) ที่ออกมาแซวตัวเองเรื่องที่เป็นคนดำแล้วชอบตายก่อนในหนังสยองอยู่เรื่อย อะไรเหล่านี้อาจเป็นสูตรเดิมๆ น่ะนะครับ แต่ก็อย่างที่ผมบอกเสมอว่าถ้าคนทำเขารู้งานและจับสูตรมาใช้ได้แบบเหมาะๆ ล่ะก็ มันก็จะกลายเป็นความบันเทิงชั้นดีได้

ผมชอบ Jenna Ortega นะ เธอรับบทฟีบี้ได้น่าสนใจดี และดูน่ารักอีกด้วย ส่วน Judah Lewis ก็ยังคงเป็นโคลได้ดีเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น (แต่บางอย่างก็ยังดูเอ๋อๆ เหมือนเดิม)

เป็นงานกำกับขำๆ ของ McG อีกเรื่องที่ทำได้สนุกครับ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบสไตล์กำกับของเขานะ คือลีลาของเขาจะเน้นความบันเทิงเป็นสรณะ ตัวละครก็จะมีสีสันคาแรคเตอร์ชัดเจนจัดจ้าน รวมถึงฉากต่างๆ องค์ประกอบต่างๆ ในเรื่องจะชอบเล่นกับโทนสีคล้ายลูกกวาดที่ดึงดูสายตาผู้ชมได้เรื่อยๆ เรียกว่าอร่อยปากและอร่อยตาครับ แต่ในแง่เนื้อหาสาระก็จะไม่เน้นมากนัก

เอาล่ะ ผมพูดถึงส่วนที่เวิร์กไปแล้ว ก็ขอพูดถึงส่วนที่รู้สึกขัดทางความรู้สึกบ้างน่ะนะครับ คืออย่างที่บอกว่าถ้าดูกันที่หนังภาคนี้แบบเพียวๆ ไม่อ้างอิงอะไรกับภาคแรกเลย ผมว่าหนังทำออกมาสนุก ขำ ฮา โหดครบเครื่อง แต่ทีนี้หากดูในฐานะภาคต่อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัดๆ ในบางจุดที่ภาคแรกอุตส่าห์ปูไว้

Untitled05936

อย่างตัวโคลนั้น ตอนจบภาคแรกเขาเติบโตขึ้นแล้วครับ เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและมากพอที่จะทำให้เขาเอาตัวรอดจากเรื่องร้ายๆ ได้ มิหนำซ้ำคนแถวบ้านที่เคยดูถูกเขาก็เปลี่ยนเป็นนับถือในความกล้าของเขาไปโดยปริยาย ซึ่งนั่นทำให้ภาคแรกมีความเป็นหนัง Coming of Age ผสมอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

แต่มาภาคนี้คาแรคเตอร์ของโคลเหมือนถูกทำให้ถอยหลังน่ะครับ กลายเป็นพวกหงอเหมือนเดิม จนราวกับว่าเหตุการณ์ในภาคแรกไม่ได้เปลี่ยนให้เขาโตขึ้น ซึ่งอันนี้มันก็รู้สึกขัดล่ะ เพราะภาคแรกตอนจบนี่โคลเป็นฮีโร่เลยนะ มาด ท่าทางและแววตาของเขาดูมั่นใจเหมือนเพิ่งเจอเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตมาตัวตนเลยได้รับการอัพเกรด

แต่หากจะมองในเชิงที่ว่า ในโลกความจริงนั้นคนเราอาจไม่ได้เปลี่ยนไปหมดจากการเจอเหตุการณ์หนักๆ เพียงครั้งเดียว ถ้าจะมองแบบนั้นมันก็พอได้น่ะครับ แต่ก็ยอมรับว่ามันทำให้ตอนจบที่ดูมีความหมายในภาคแรกลดความขลังลงไปพอสมควร

ก็ไม่รู้ว่าคนที่เคยดูภาคแรกมาก่อนจะคิดแบบนี้ไหมน่ะนะครับ แต่ผมน่ะอดคิดไม่ได้จริงๆ ทำให้การดูหนังเรื่องนี้มันมีอารมณ์ความรู้สึก 2 อย่างเกิดขึ้น ความรู้สึกแรกคือหนังมันก็สนุกดี ดูเพลินแบบไม่ต้องคิดมาก แต่อีกความรู้สึกก็คือรู้สึกว่าบางอย่างมันดูขัดๆ กับภาคแรกยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งพูดตรงๆ มันก็คงเพราะว่าตอนทำภาคแรกนั้นทีมงานไม่ได้เตรียมทำภาคสองไว้แต่แรก กล่าวคือภาคสองนี่ถือกำเนิดขึ้นมาเพราะภาคแรกได้รับความนิยม เลยต้องมานั่งปั่นบทเขียนภาคสองกันต่อ ซึ่งก็ไม่แปลกหากจะมีทั้งที่มันเข้าได้กับภาคแรก และดูเป็นคนละเรื่องกับภาคแรก (ภาคต่อหลายๆ เรื่องก็แบบนี้ล่ะครับ มีทั้งส่วนที่กลมกลืนและไม่กลมกลิืนกับภาคแรกผสมกัน)

แต่หากดูแบบไม่คิดมาก หนังก็ดูเพลินดีครับ เหมือนตอนดูผลงานก่อนๆ ของ McG อย่าง Charlie’s AngelsTerminator Salvation แล้วก็ This Means War นั่นแหละครับ หนังอาจไม่ได้เจ๋งมากมาย แต่ดูเอาสนุกได้ ถือว่าหนังตอบโจทย์ความบันเทิงได้ตามมาตรฐาน ดูแล้วสนุก ดูแล้วขำ ดูแล้วเพลินตา มีฉากแอ็กชันหรือฉากตื่นเต้นมาให้เพลินใจ เรียกว่าอยากได้อะไรจากหนังแนวนี้ก็ได้หมดครับ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)

ถัดจากนี้จะเป็นการสปอยล์สักหน่อยนะครับ เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อบทสรุปของหนัง ใครไม่อยากทราบก็ไม่ควรอ่านครับ

จริงๆ ผมชอบบทสรุปของเรื่องครับ จะเรียกว่าเข้าทางก็ได้ ผมชอบเสมอเวลาที่ตัวร้ายจากภาคก่อนมีการกลับใจ หรือเปลี่ยนจากตัวร้ายกลายเป็นคนที่มีจิตสำนึก (อย่าง Hellbound: Hellraiser II เป็นต้น)

ผมว่าอะไรเหล่านี้มันมีความหมายนะ มันทำให้รู้สึกว่าตัวละครเหล่านี้ก็มีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึกและจิตใจ จริงที่เขาอาจจะเป็นตัวละครฝ่ายร้ายซึ่งมันก็อาจมีเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเดินในเส้นทางนั้น แต่พอถึงจุดหนึ่ง พอพวกเขาได้เจอกับจุดเปลี่ยนบางอย่างที่มาสะกิดใจเขาหรือเธอก็อาจจะกลับมาเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง รวมถึงชดใช้ความผิดที่ตนได้กระทำลงไป

ดังนั้นสำหรับบทสรุปของบี (Samara Weaving) ก็ถือว่าเป็นอะไรที่โอเคอยู่ครับ แต่กระนั้นถ้าจะมองว่ามันขัดกับภาคแรกก็ได้เหมือนกัน เพราะภาคนี้หนังพยายามอธิบายเพิ่มว่าจริงๆ แล้วบีเป็นคนดีมาตั้งแต่เริ่ม ที่เธอยอมทำสัญญากับซาตานก็เพื่อช่วยฟีบี้ ซึ่งมันก็ออกจะดูขัดกับหลายๆ อย่างในภาคแรกที่เธอดูเหมือนจะทำพิธีเพื่อตัวเองเป็นหลัก นี่ก็เป็นอีกจุดที่ผมรู้สึกว่าภาคแรกกับภาคนี้มันมีจุดขัดๆ ที่ทำให้หนังไม่เป็นเนื้อเดียวกันอยู่