Terminator: Dark Fate (2019) ฅนเหล็ก วิกฤตชะตาโลก

Untitiled04794

การจะพูดถึงหนังเรื่องนี้คงต้องแยกอารมณ์ออกเป็น 2 ห้วง ครับ ห้วงหนึ่งก็คือความรู้สึกที่มีต่อตัวหนัง กับอีกห้วงหนึ่งก็คือความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาพอได้รับรู้ว่าเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้มันเกิดความไม่ลงรอยกันสักเท่าไร ระหว่างผู้กำกับ Tim Miller กับผู้สร้างต้นตำนานอย่าง James Cameron

มาว่ากันถึงตัวหนังก่อน ตัวหนังจัดว่าออกมาในระดับกลางๆ ครับ คือไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ว้าว จัดเป็นหนังแอ็กชันไซไฟที่ดูได้เพลินๆ ในแง่ของงานสร้างนั้นก็จัดว่าถึงฟอร์มพอตัว ไม่ว่าจะฉากระเบิด ฉากไล่ล่า ฉากบู๊ทั้งบนดิน เหนือฟ้า และในน้ำ ส่วนดาราที่คัดมาก็ถือว่าเวิร์กครับ ตั้งแต่ได้ 2 ดารานำอย่าง Linda Hamilton และ Arnold Schwarzenegger ตามด้วยหน้าใหม่อย่าง Natalia Reyes ในบทแดนี่ ผู้ที่จัดว่าเป็นจอห์น คอนเนอร์สำหรับภาคนี้, Mackenzie Davis ก็ดูเข้าทีเดียวครับกับบทเกรซ หญิงแกร่งที่ย้อนอดีตมาเพื่อปกป้องแดนี่ และ Gabriel Luna ในบท REV-9 หุ่นยนต์ตัวร้ายที่มาเพื่อล่าแดนี่

จริงๆ เนื้อเรื่องไม่ใหม่ครับ มันคือการรีไซเคิล 2 ภาคแรกมาเล่าอีกรอบ เปิดมาก็โชว์โลกอนาคตให้เราเห็นนิดๆ ก่อนจะเปิดตัวเหล่าผู้มาจากอนาคต ต่อด้วยแนะนำแดนี่, ใส่ซาร่าห์ คอนเนอร์กับพี่ฅนเหล็กหน้า Arnold ลงใน Story แล้วจากนั้นก็ไล่ล่าสลับกับช่วงพักหายใจเรื่อยไปจนหนังจบ ในแบบที่เปิดช่องไว้สำหรับภาคต่อ (ถ้ามีน่ะนะครับ)

ถ้ามองกันในแง่ที่ Cameron ประกาศไว้ว่านี่คือหนังภาคต่อที่แท้จริงของ Terminator (โดยลืมภาค 3 – 5 ไปจนหมด) หนังก็จัดว่าเข้าข่ายนั้นอยู่เหมือนกันครับ เพราะมีการผูกเรื่องเข้ากับ 2 ภาคแรกแบบเต็มๆ และโทนเรื่องก็ใกล้ๆ กับ 2 ภาคแรกอยู่ ซึ่งจะต่างกับภาค 3 – 5 ที่พยายามฉีกแนวไปเล่าเรื่องในทิศทางใหม่

แต่รู้ไหมครับ พอดูเรื่องนี้เสร็จ ผมกลับรู้สึกสนุกกับภาค 3 – 5 มากกว่า ตรงที่หนังเหล่านั้นพยายามหาอะไรใหม่ๆ ใส่ลงมานี่แหละ มันทำให้ดูมีความน่าสนใจ ดูน่าติดตามว่าเรื่องมันจะฉีกไปทางไหนต่อและจะมีอะไรมาให้เราว้าวไหม (แต่จะเวิร์กหรือไม่ก็ว่ากันอีกที) ในขณะที่ภาค Dark Fate นี้ดูจะเป็นอะไรเดิมๆ ในแบบที่เดาๆ กันได้ว่าเรื่องมันจะไปทางไหนต่อ

Untitiled04795

จริงๆ อะไรเดิมๆ นั้นอาจไม่ใช่ปัญหาน่ะครับ เพราะขอเพียงคนทำเล่าออกมาให้มันส์และตื่นเต้นเร้าใจมันก็น่าจะโอเคแล้ว แต่ปัญหาคือนอกจากแนวทางเดิมๆ แล้ว ฉากไล่ล่าแอ็กชันต่างๆ ก็ไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจขนาดนั้น ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ คือดูแล้วก็โอเค แต่ไม่ถึงกับทำให้ระดับอะดรีนาลีนของเราพุ่งพล่านได้ ซึ่งตรงนี้แหละครับที่มันมีส่วนทำให้ความสนุกของหนังไม่มากอย่างที่ควรจะเป็น

ระหว่างดูนี่ผมคิดในใจเลยนะว่า “นี่เรามาถึงจุดที่“หนังที่มีมนุษย์ธรรมดาเป็นตัวเอก (อย่าง Fast and Furious หรือ Mission:Impossible)” มีฉากบู๊โม้-เมา-มันส์เกินหน้าเกินตา “หนังไซไฟว่าด้วยหุ่นยนต์โลกอนาคต” แล้วหรือนี่” ที่ผมมองในประเด็นนั้นก็เพราะว่าหนัง Terminator ว่าด้วยเรื่องแนวไซไฟผสมจินตนาการครับ มันเปิดโอกาสให้คนทำเนรมิตฉากบู๊ที่เหนือกว่าและโม้กว่าหนังแอ็กชันปกติทั่วไปได้ (เพราะโดยพล้อตมันก็ถือว่าโม้ในตัวอยู่แล้ว) แต่ผลลัพธ์ของฉากแอ็กชันที่ออกมากลับไม่มีอะไรแปลกใหม่ และดีกรีความเร้าใจก็ถือว่าไม่มากเท่าไรด้วย

จริงๆ ฉากแอ็กชันไม่ต้องใหม่มากก็ได้ครับ เพราะไม่ต้องอื่นไกล ดูอย่าง Terminator 2 ก็ได้ หนังเก่ามากมายแต่เอามาดูใหม่ก็ยังมันส์อยู่ ส่วนสำคัญเลยก็เพราะฉากแอ็กชันต่างๆ มันถึงรสถึงชาติน่ะครับ แม้ลีลาจะไม่ได้หวือหวามากมายหากเทียบกับหนังสมัยนี้ แต่ลองว่าเครื่องมันถึง ดูกี่ทีมันก็ถึงรสอยู่ดี

ดังนั้นถ้าจะให้สรุปเกี่ยวกับฉากแอ็กชันใน Dark Fate ก็คงจะต้องบอกว่า ทำออกมาได้โอเค แต่ยังไม่ถึงระดับเด็ดเผ็ดมันส์

และพอนึกย้อนถึง T2 ก็ทำให้นึกได้ถึงความดีของหนังน่ะครับ นอกจากความมันส์ในเชิงแอ็กชันแล้ว ในแง่ความผูกพันตัวละครก็ถือว่าเด่นครับ ไม่ว่าจะเรื่องแม่ (ซาร่าห์)-ลูก (จอห์น), จอห์นกับหุ่น (ที่หลายวาระก็ดูน่ารักดี) หรือซาร่าห์กับหุ่น (ที่ซาร่าห์ยังระแวงในตัวเจ้าหุ่นอยู่เสมอ) แต่ละคนล้วนมีปมในแบบของตนเองและมีรูปแบบความสัมพันธ์ที่น่าสนใจ มันช่วยเสริมทั้งตัวละครและเรื่องราวให้มีอะไรมากไปกว่าแค่หนังหุ่นตีกัน

ในขณะที่ Dark Fate ยังไปได้ไม่ถึงจุดนั้นครับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะตัวละครเยอะขึ้นเลยไม่มีเวลาพอที่จะเกลี่ยความผูกพันให้ทั่วถึง ไม่ว่าจะระหว่างแดนี่กับเกรซ, แดนี่กับซาร่าห์, ซาร่าห์กับ T-800 ฯลฯ หรือจะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ตามที แต่ถ้าว่ากันถึงปมระหว่างตัวละครแล้ว ก็ถือว่า Dark Fate ยังไม่ถึงจุดที่น่าพอใจครับ (แต่ก็เข้าใจว่าหนังคงพยายามพอสมควรแล้วน่ะนะครับ)

พอคิดถึงเรื่องนี้ก็มองเห็นจุดต่างระหว่าง T2 กับ Dark Fate ได้ชัดขึ้นครับ เพราะแม้โครงสร้างจะคล้ายกัน แต่ใน T2 นั้นมันยังมีเรื่องระหว่างตัวละครมาเสริมความน่าสนใจระหว่างที่หนังเล่าเรื่องการไล่ล่าไปด้วย ในขณะที่ Dark Fate นั้นแม้จะเล่าเรื่องการไล่ล่าเหมือนกัน แต่เรื่องราวระหว่างทางของตัวละครกลับยังไม่น่าจดจำเท่าใดนัก

Untitiled04796

เมื่อว่ากันโดยรวมแล้ว หนังเลยอยู่ในระดับกลางๆ น่ะครับ ไม่ดี-ไม่แย่อย่างที่บอกไป แต่ทีนี้พอถึงเวลาจะถามหาความรับผิดชอบว่าใครหนอที่ทำให้หนังออกมาเป็นแบบนี้ ปกติเราก็จะตรงไปที่ผู้กำกับใช่ไหมครับ แต่กับเรื่องนี้จะว่าผู้กำกับก็ทำได้ไม่เต็มปาก เพราะผู้กำกับ Tim Miller เองก็ออกมายอมรับว่าเขาไม่ค่อยมีอิสระในการทำหนังเรื่องนี้สักเท่าไร พูดตรงๆ เลยก็คือสิทธิ์ขาดในการตัดต่อหนังไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ Cameron ครับ

ในประเด็นนี้ก็เหมือนกับว่า Miller เองได้ทำหนังออกมาในแบบของเขาในทิศทางสร้างสรรค์ของเขาแล้ว แต่ Cameron ไม่เห็นด้วยกับทิศทางนั้นสักเท่าไรเลยขอให้ Miller ปรับ ปรับไปปรับมาก็เริ่มห่างจากสิ่งที่ Miller วางไว้มากขึ้นทุกที แล้วก็ออกมาเป็นหนังเรื่องนี้น่ะครับ จนสุดท้าย Miller เองก็ออกมาประกาศว่าแม้เขาจะไม่ได้ผิดใจกับ Cameron มากมายขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่อยากกลับมาร่วมงานกับ Cameron อีก (ฟังแล้วก็ดูค้านๆ กันอยู่ในทีน่ะนะครับ บอกว่าไม่ได้ผิดใจกันมากมาย แต่ก็ไม่อยากร่วมงานกันอีก ซึ่งก็ทำให้มองได้ว่า ระดับความขัดแย้งที่เกิดก็คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ)

ดังนั้นแม้หนังจะมีชื่อ Miller เป็นคนกำกับ แต่เอาเข้าจริงแล้วผลงานชิ้นนี้ก็ไม่ได้เป็นงานที่มาจากการสร้างสรรค์ของเขาอย่างที่ควรจะเป็น ถึงขั้นที่ Miller ออกมาสัมภาษณ์ว่าเขารู้สึกเสียใจไม่น้อยที่เขาไม่สามารถนำเอาความคิดสร้างสรรค์ที่เขามีใส่ลงไปในหนังเรื่องนี้ได้

เรื่องนี้จะจริงมากน้อยแค่ไหน หากเราไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังก็คงยากจะรู้ตื้นลึกหนาบางได้ แต่ก็ยอมรับครับว่าถ้าหากจริงเนี่ย มันก็น่าเสียใจอยู่ ยิ่งมองว่าเรื่องนี้มี Cameron มาเกี่ยวข้องด้วย (ในฐานะผู้อำนวยการสร้างที่ควบคุมหนังแทนผู้กำกับตัวจริง) ก็ให้รู้สึกอึ้งครับ เพราะจริงๆ สมัยที่ Cameron เป็นผู้กำกับใหม่ๆ เขาก็เคยโดยผู้อำนวยการสร้างกระทำแบบนี้มาแล้วตอนทำหนังเรื่อง Piranha 2 (ว่าง่ายๆ คือเขาเคยโดนทำแบบนี้แท้ๆ ก็น่าจะเข้าใจหัวอกของผู้กำกับที่ไม่สามารถทำหนังตัวเองได้อย่างเต็มที่ ได้ดีกว่าใคร)

เอาเป็นว่าสิ่งที่รู้ตอนนี้ก็คือ หนังไม่สามารถปลุกตำนาน Terminator ขึ้นมาได้ครับ หนังจัดว่าล่มในแง่ของรายได้ (ลงทุนไป $185 ล้าน ได้คืนมาราวๆ $261 ล้านจากทั่วโลก) ซึ่งก็ถือว่าน่าเสียดายอยู่เหมือนกันครับ (แต่สำหรับคนที่คิดว่า “หนังชุดนี้ควรหยุดสร้างได้แล้ว” ก็อาจมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีก็ได้)

ครับ แม้หนังจะไม่ได้ออกมาเด็ดอะไรมากมาย แต่ถ้าดูเอาเพลินฆ่าเวลามันก็โอเคน่ะครับ อย่างน้อยก็ได้เห็น Hamilton กับ Schwarzenegger มาขึ้นจออีกครั้ง (และในฉบับพากย์ไทยยังได้เสียงของคุณกรณิการ์กับคุณจักรกฤษณ์มาพากย์ด้วย ก็ยิ่งถูกใจมากขึ้นไปอีกครับ) หรือฉากแอ็กชันต่างๆ แม้จะไม่ได้มันส์หรือลุ้นอะไรมากมาย แต่ก็ยังถือว่าโอเค อาจยังไม่สมหวังแต่ก็ไม่ได้ผิดหวัง

แต่จะว่าไปผมชอบบทสรุปนะ ที่หนังเปิดทางไว้สำหรับภาคต่อ แต่ก็คงยากที่จะเกิดขึ้นได้ครับ เพราะรายได้เล่นไม่เวิร์กซะขนาดนี้

โดยสรุปคือ นี่ก็เป็นหนังแอ็กชันไซไฟระดับกลางๆ อีกเรื่องหนึ่งครับ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)