Ted 2 – หมีไม่แอ๊บ แสบได้อีก 2

  อาจจะถือได้ว่าไอเดียตั้งต้นว่าด้วยตุ๊กตาหมีมีชีวิตพูดได้ที่โตมากับเด็กชายจนเป็นเพื่อนซี้พี้กัญชาชีวิตพังไปด้วยกัน แทรกด้วยมุกตลกวัฒนธรรมแบบต่ำตมได้ใจ เป็นไอเดียสุดจะแหวกแนวในโลกฮอลลีวู้ดอันเต็มไปด้วยพล็อตซ้ำเล่าซ้ำที่น่าสนใจเอามากๆ จนภาคแรกอย่าง Ted ประสบความสำเร็จเป็นที่กล่าวขานอย่างล้นหลาม หากภาคแรกตัวหนังโฟกัสไปที่ Coming of age ของผู้ชายไม่รู้จักโตกับตุ๊กตาหมีพูดได้จอมเสื่อมและพากันฉุดชีวิตให้ไม่ไปไหน ภาคนี้หนังก็ก้าวมาพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์แต่เสมือนมนุษย์อย่าง Ted ประเด็นดูใหญ่โตจริงจังไม่ได้หมายความว่าหนังจะทำทีซีเรียสหน้าตึง เพราะตลอดทั้งเรื่องยังจัดเต็มไปด้วยมุกตลกเสื่อมทราม เสียดสีจิกกัดความเป็นอเมริกันอย่างไม่บันยะบันยังซึ่งป็นยี่ห้อติดตัวผกก.Seth MacFarlane ไปแล้วไม่ว่าใครจะชอบใครหรือยี๋แค่ไหนก็ตาม

     เรื่องเริ่มต้นที่งานแต่งงานของ Ted แฟนสาว Tami-Lynn ซึ่งในภายหลังทั้งคู่ก็พบวิกฤติชีวิตคู่ที่ไม่ได้เรียบง่ายจนได้รับคำแนะนำให้มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ ด้วยข้อจำกัดด้านร่างกายทำให้ Ted ไม่สามารถมีลูกแบบปกติชนเขาทำกันได้ ครั้นจะขอบริจาคน้ำเชื้อมดลูกของ Tami-Lynn ก็พังไม่เหลือชิ้นดี ทั้งคู่เลยติดต่อขออุปการะเด็กกำพร้ามาเลี้ยงเป็นลูก อันเป็นจุดเริ่มต้นให้รัฐบาลเข้ามาสนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนของตุ๊กตาหมี Ted ว่าเขาเป็นมนุษย์หรือไม่ และควรมีสิทธิเป็นมนุษย์เทียบเท่ามนุษย์ที่แผ่นอเมริการองรับหรือไม่

     หนังจึงว่าด้วยภารกิจที่ Ted และ John ต้องช่วยกันยืนยันสิทธิความเป็นมนุษย์ตามกฏหมายของ Ted โดยได้รับความช่วยเหลือจากทนายสาวจบใหม่อย่าง Samantha ที่ใครจะไปรู้ว่าทนายสาวคนนี้คือคอกัญชาตัวเอ้ ทำให้พวกเขาทั้งสามเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยก่อเรื่องชวนหัวและสนิทสนมกันในเวลาอันรวดเร็ว ภารกิจดูจริงจังที่เต็มไปด้วยมุกตลกล้อความเป็น Pop culture ของอเมริกัน มุกตลกสกปรกไปจนถึงเสียดสีความเป็นชาติที่หลายมุกเวิร์คมากๆ หลายมุกต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจบริบทสักหน่อย และหลายมุกที่ดูเป็นการเซ็ทซีนเพื่อเล่นมุกอย่างเดียวโดยที่ไม่ผลักเรื่องให้ไปข้างหน้าเท่าไหร่   

     โดยรวมแล้วปัญหาของหนังอยู่ที่เส้นเรื่องยังไม่แข็งแรงและกระชับมากพอ การออกแบบเรื่องในภาพใหญ่ยังทำได้ไม่สนุก ถึงแม้จะเต็มไปด้วยดีเทลมุกตลกที่จัดหนักจัดเต็มแต่ด้วยความที่มันไม่ได้ผลักความเป็นเอกภาพของเรื่องเท่าไหร่ทำให้มีหลายช่วงเหมือนกันที่หนังดูจะดำเนินเรื่องได้ค่อนข้างอืดและซีนกระจัดกระจาย อย่างไรก็ตามการเล่นมุกแบบจัดเต็มถึงขนาดเซ็ทซีน “เพื่อเล่น” ไม่ใช่ “เพื่อเล่า” ก็อาจเป็นจุดขายอย่างหนึ่งแต่แรกของหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว