Straight Time (1978) คนดีลหุโทษ

Untitiled04797

ถือเป็นหนังแอ็กชันดราม่ารุ่นเก่าที่ทำออกมาได้ดีมากอีกเรื่องหนึ่งครับ เรียกว่าครบเครื่องทั้งการแสดงดีๆ, เรื่องราวที่น่าติดตาม, ดนตรีที่พอเหมาะ และสาระชวนคิดสะกิดหัว

แม็กซ์ เดมโบ (Dustin Hoffman) เพิ่งพ้นโทษออกมาครับ และเขาก็หมายมั่นว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตั้งแต่หาที่อยู่ หางานทำ ผูกสัมพันธ์กับสาวน้อยแสนน่ารักที่ชื่อเจนนี่ (Theresa Russell) แล้วก็แวะไปหาเพื่อนเก่า แต่แล้วเขาก็ไม่อาจมีชีวิตแบบคนปกติได้เมื่อเขาถูกเพ่งเล็งโดยเจ้าหน้าที่ทัณฑ์บน (M. Emmet Walsh) ทีนี้พอแม็กซ์ถูกบีบมากๆ เข้า เขาก็ทนไม่ไหวครับ เลยตัดสินใจหวนคืนสู่โลกแห่งอาชญากรรมอีกครั้ง แล้วมันจะนำชีวิตเขาไปสู่ทิศทางไหน ก็ต้องติดตามกันครับ

พลังแรกที่ยกนิ้วให้เลยคือการแสดงดีๆ ของ Hoffman ครับ ดูแล้วเชื่อจริงๆ ว่าเขาคือนักโทษที่กลับใจแล้ว และพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง แววตาท่าทางของเขามันดูจริงใจและตรงไปตรงมา ไหนจะกิริยาที่ดูเจี๋ยมเจี้ยมอีก เราเลยอดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วยให้เขามีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ ครั้นพอถึงฉากที่เขาทนไม่ไหว Hoffman ก็ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีครับ แสดงอาการสุดจะทนออกมาได้อย่างน่าจดจำ แล้วแววตาของเขาหลังจากนั้นก็กลายเป็นอีกคนไปเลยครับ กลายเป็นเหมือนสัตว์จนตรอกที่ไม่ไว้ใจอะไรง่ายๆ ดังนั้นบอกได้เลยครับว่า แค่ดู Hoffman อย่างเดียวก็คุ้มแล้ว

ดาราสมทบแต่ละคนก็ทำหน้าที่ได้ดีครับ ทุกคนมีส่วนช่วยเสริมอารมณ์ให้กับหนังได้ ตามด้วยดนตรีดีๆ ของ David Shire ที่จัดว่าพอเหมาะ ผมนั้นชอบท่วงทำนองของดนตรีตอนต้นเรื่อง ตอนที่แม็กซ์เพิ่งออกจากคุกแล้วก็เดินเที่ยวไปทั่วเมืองเพื่อสูดกลิ่นอายของอิสรภาพที่เขาได้รับ ช่วงที่ว่านี้ดนตรีสื่ออารมณ์ของแม็กซ์ได้ดีจริงๆ (จนเราอดจะสะเทือนใจไม่ได้ เมื่ออิสรภาพนั้นกำลังจะถูกพรากไป)

จุดเด่นอีกอย่างของหนังคือการเดินเรื่องครับ หนังเดินเรื่องไปเรื่อยๆ แต่ก็น่าติดตาม ซึ่งอันนี้บอกเลยครับว่าปกตินั้นเวลาที่ผมดูหนังเก่าๆ มันจะมีสิ่งหนึ่งที่ติดขัดในใจผมเสมอ นั้นคือจังหวะการเดินเรื่องที่อืดเกิน บางเรื่องก็เดินเรื่องช้าๆ จนความน่าสนใจค่อยๆ หายไป หรือบางเรื่องก็เดินเรื่องแบบชมนกชมไม้ มัวแต่ใส่ฉากที่ไม่ได้มีผลต่อเนื้อเรื่องใส่ลงมาจนหนังดูสะเปะสะปะและไม่มีแก่นให้เราโฟกัส แต่กับเรื่องนี้นี่ไม่ใช่เลยครับ แต่ละฉากที่ใส่ลงมาล่วนมีผลต่อเนื้อเรื่อง หรือไม่ก็จะเป็นฉากที่ตัวละครได้แสดงตัวตนบางอย่างออกมา ซึ่งทำให้เรารู้จักพวกเขามากขึ้น ด้วยเหตุนี้หนังเลยมีอะไรให้เราติดตามอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ

Untitiled04798

ดังนั้นใครที่เคยดูหนังเก่าๆ แล้วรู้สึกไม่ถูกเส้นกับความอืดเฉื่ือยของหนังแล้วล่ะก็ ขอบอกเลยครับว่าหนังเรื่องนี้ไม่เป็นแบบนั้นเลย มันมีอะไรให้เราติดตามอยู่เรื่อยๆ จริงๆ

แรกเริ่มเดิมทีนั้นหนังเรื่องนี้จะกำกับโดย Hoffman ครับ โดยหนังสร้างจากหนังสือชื่อ No Beast So Fierce ของ Edward Bunker ที่ Hoffman ลองอ่านแล้วเกิดถูกใจอย่างมาก เลยตัดสินใจจะกำกับครับ แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็เปลี่ยนใจครับ เพราะเขารู้สึกว่าบทแม็กซ์ เดมโบนี้มีความซับซ้อนมาก เขาเลยอยากจะทุ่มพลังไปโฟกัสที่การแสดงมากกว่า เขาก็เลยให้ Ulu Grosbard มานั่งเก้าอี้กำกับแทน

และ Grosbard นี่เองที่เป็นคนแนะนำหนังสือ No Beast So Fierce ให้ Hoffman อ่านในตอนแรกครับ

ยอมรับว่าผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันครับว่าจะชอบหนังเรื่องนี้ขนาดนี้ เพราะปกติเวลาดูหนังเก่าๆ ผมก็มักจะแอบเบื่อกับความยืดเยื้อเอื่อยเฉื่อยบางประการของหนังสมัยก่อน แต่เรื่องนี้นี่ไม่ยืดเยื้อจริงๆ เดินเรื่องตรงเป้าเล่าเรื่องกระชับ เมื่อมาบวกกับการแสดงดีๆ ด้วยแล้วหนังเลยดูสนุกทีเดียวครับ

ดูแล้วก็เห็นใจแม็กซ์น่ะนะครับ เขาก็อยากได้โอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ แต่สุดท้ายก็ต้องย้อนมาเดินเส้นทางเดิม ในแง่หนึ่งอาจมีคนบอกว่า “มันเป็นเพราะเขาเลือกกลับไปเดินทางเดิมเอง โทษใครไม่ได้” ซึ่งการมองมุมนั้นก็อาจจะไม่ผิดครับ เพราะแม้สถานการณ์จะบีบแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นคนเลือกมัน แต่ขณะเดียวกันหากแม็กซ์ได้รับโอกาสอีกนิด อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น เขาก็อาจจะไม่ต้องกลับไปเดินเส้นทางเดิมก็ได้

นึกแล้วก็รู้สึกว่าโลกนี้ซับซ้อนนะครับ เพราะเราก็ไม่รู้หรอกว่าใครจะคิดกลับใจจริงๆ แบบแม็กซ์ หรือใครจะแกล้งทำเป็นคนดีเพื่อหลอกขอโอกาสจากคนอื่น

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรให้โอกาสใคร? เพราะบางทีพอเราให้โอกาส เราเองก็อาจตกเป็นเหยื่อ-ถูกหลอก แต่พอเราไม่ให้โอกาสคน ก็อาจกลายเป็นการทำให้คนที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเองตัดสินใจเดินทางผิดแบบแม็กซ์ก็ได้เหมือนกัน

การให้โอกาสคนอื่นนั้น จะเป็นการทำถูกหรือทำผิดก็ยากจะสรุปได้ครับ แต่วิธีที่ดีกว่าก็คงเป็น การหันมาให้โอกาสกับตัวเราเองครับ คือใครจะให้โอกาสเราไหม จะเชื่อเราไหมก็แล้วแต่เถอะ แต่อย่างน้อยถ้าตัวเราตั้งใจดีจริงๆ ตั้งใจจะเริ่มต้นใหม่จริงๆ เราเองนั่นแหละที่สามารถเป็นคนสร้างโอกาส/เปิดโอกาส/คว้าโอกาสให้กับตนเอง คนอื่นจะไม่ให้ก็แล้วแต่เขา แต่เราก็ต้องเดินหน้ายืนหยัดต่อสู้เพื่อตัวเราต่อไป

Untitiled04799

โลกอาจจะโหดร้ายกับเราครับ ความซวยอาจมาเยือนเราได้ทุกเมื่อ บางทีเราก็หนีเคราะห์ร้ายไม่พ้น แต่เรื่องเหล่านี้ต่อให้เราโอดครวญไปก็ไร้ความหมายครับ สิ่งที่เราทำได้คือรับมือกับมัน เผชิญหน้ากับมัน และเลือกวิถีทางที่จะจัดการกับชีวิตตน เลือกว่าจะทำอย่างไรเมื่อเจอกับเรื่องแย่ๆ ซึ่งการตัดสินใจของเรานั่นแหละครับที่จะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตเรา

บทสรุปของหนังเรื่องนี้ เราจะมองให้ได้แง่คิดแบบไหนก็แล้วแต่เราครับ เราจะมองตรงๆ เลยว่า “โลกนี้คนดีอยู่ยาก มันเลยต้องผ่าทางตัน” หรือเราจะมองว่า “ชีวิตของเราจะดีหรือแย่ ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของเรา” นั่นย่อมแล้วแต่เราจะเลือกมองครับ

ส่วนผมนั้น มองแบบผสมๆ คือมองอย่างเข้าใจว่า โลกนี้มันมีทั้งสดสวยและเฮงซวย เราใช้ชีวิตเดินดินอยู่บนโลกก็ย่อมมีโอกาสจะเจอไม่อันใดก็อันหนึ่ง (หรืออาจเจอสองอันมาพร้อมกันๆ ก็ได้) เมื่อเราเจอแล้วเราก็ต้องตั้งหลัก ปรับตัว และเลือกวิธีรับมือเป็นครั้งๆ ไป

เพราะบางครั้งก็ต้องมองในแง่ดี แต่บางทีจะมัวแต่โลกสวยมากไปก็ไม่ได้ – บางครั้งเราก็ต้องเลือกโดยคิดถึงตัวเราเองก่อน – บางครั้งเราก็ต้องหาทางให้ผลออกมาแบบ Win Win – หรือบางครั้งเราก็ต้องรู้จักเสียสละ

อยู่ในโลกอย่างรู้เท่าทัน – รับมือกับโลกอย่างที่มันเป็น – มองให้ทะลุถึงความสวยและความทรามของโลก – โต้คลื่นชีวิตให้เป็น (การที่เราจะทรงตัวโต้คลื่นได้ สิ่งสำคัญคือ ตัวเราต้องอยู่เหนือคลื่น)

อยากจะขอบคุณหนังเรื่อง Straight Time ที่ทำให้ผมมีโอกาสได้หวนครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง – จะได้เก็บเอาไปใช้ต่อในการดำเนินชีวิต

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)