SPL 2 – โหดซัดโหด

A Time for Consequences (Cheang Pou-Soi / Hong Kong, China / 2015)

นี่เป็นการโกอินเตอร์ที่ดูดีมีภาษีที่สุดของ จา พนม ยีรัมย์  แต่น่าเสียดายที่การต้อนรับจากคนดูทั่วไปในประเทศบ้านเกิดไม่ได้อุ่นหนาฝาคั่ง  เทียบเท่าได้แค่ขี้เล็บของการโกอินเตอร์ฮอลลีวูดเมื่อครั้ง Fast & Furious 7 (James Wan / USA / 2015)  ติดหล่มอยู่จุดเดียวกันกับ Skin Trade (เอกชัย เอื้อครองธรรม / Canada, Thailand / 2015)  ที่เงียบเชียบเกินกว่าที่คาด  ทั้งๆ ทีสองเรื่องล่าสุดนี้พี่จาแกเล่นบทนำไม่ใช่นักแสดงสมทบอย่างในหนังรถแข่ง  ก็เป็นปกติที่หนังฟอร์มใหญ่และตัวหนังที่มีแฟนหนังรอคอยดูทั้งโลกบวกกับกระแสข่าวดราม่าในช่วงนั้นจะทำให้หน้าหนังจูงใจให้คนดูตามกระแสมากขึ้น  ซึ่งโรงหนังก็พร้อมจะซัพพอร์ตเพิ่มรอบรองรับกระแส  จะว่าไปแล้ว SPL2 กับ Skin Trade โดยรวมก็ไม่ได้เป็นหนังที่ดีเด่นสักเท่าไหร่  แถมยังมีบริบทเรื่องราวที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์คล้ายๆ กันอีกด้วย  และพอได้ดูก็ไม่แปลกใจว่าทำไมผู้จัดจำหน่ายหนังถึงไม่โปรโมต SPL2 อะไรมากมาย  เพราะมี Skin Trade ให้เห็นเป็นตัวอย่างคลำทางตลาดมาก่อนหน้านั้นแล้ว  ถึงแม้ SPL2 จะดูน่าสนใจกว่ามากทั้งฟอร์มหนังและดาราระดับซุปเปอร์สตาร์ฮ่องกงไม่น้อยกว่า 3 ชีวิต!!

ถึงแม้ว่าพล็อตจะดูเชยไปหน่อยในการไขว้ตัวละครกันไปมารวมถึงปมตัวละครหลักบางตัว  แต่พอตัวละครแต่ละตัวมาเจอกันบนความขัดแย้งที่โยงใยความสัมพันธ์พี่น้อง  พ่อลูก  น้าหลาน  และมิตรภาพ  มันสร้างสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกบางๆ ได้น่าติดตามทีเดียว  และส่วนนี้ก็กลายเป็นเสน่ห์หนึ่ง  แต่เสียดายที่บางตัวละครบางวิธีการเล่าสถานการณ์มันพยายามมีมาเพื่ออุดช่องโหว่แทนที่จะมีผลกับเรื่องที่น่าจะกลมกลึงและสุดทางได้มากกว่านี้  ตัวละครร้ายอย่างมือมีดถึงจะเสริมฉากให้สนุกดีแต่คาแร็กเตอร์ก็จัดจนดูโดดจากตัวอื่นๆ ไปหน่อย  และเสียดายที่สุดที่ผู้จัดจำหน่ายหรืออาจจะเป็นโรงหนังเองที่ลงโรงฉายแต่พากษ์ไทย  เพราะพันธมิตรยังคงเป็นพันธมิตรที่เห็นจะเวิร์คแต่การพากษ์หนังตลก  แต่จากความเคยชินก็คงจะไม่อะไรเลยถ้าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นหนังสองภาษาแต่ดันพากษ์ไทยทับล้วนๆ ทั้งเรื่อง  ทำให้มันลดทอนอารมณ์หนังจนแทบไม่เหลือโดยเฉพาะความรู้สึกจากสภาวะความไม่รู้จากการสื่อสารระหว่างตัวละคร  กลายเป็นเหมือนถูกสปอยล์ล่วงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แต่ก็อดไม่ได้ด้วยความที่อยากจะดูในโรงให้ได้เห็นภาพบนจอใหญ่ๆ  จริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของหนังไทย-ฮ่องกงในยุคสมัยนี้ที่น่าจดจำเลยนะ  แต่ถูกเพิกเฉยไปหน่อย  แต่ก็เป็นปกติที่คนดูก็มักจะตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นพี่จาแกไปผลุบโผล่ในหนังแอคชั่นวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ฮอลลีวูดตื่นตามากกว่า  หนังแอคชั่นอาชญากรรมฮ่องกงสมจริงสมจังอยู่แล้ว

ส่วนดีที่สุดของหนังตกมาอยู่ที่ฉากแอคชั่นทั้งฉากยิงปืนไล่ล่าแย่งคนกลางที่ลุ้นระทึกด้วยจังหวะแอคชั่นและมุมมองการกำกับที่ชวนติดตาม  รวมถึงฉากแอคชั่นเตะต่อยที่สนุกดูเพลินแต่ติดอยู่อย่างที่เวลาดูเซ็ตติ้งฉากเหล่านี้จะทำให้นึกถึงหนังเรื่องอื่นทำให้ความพิเศษมันลดทอนลงไปมาก  มีทั้งลองเทคในคุกที่ชลมุนวุ่นวายซึ่งกล้องและนักแสดงดูไหลลื่นดูสนุกมากๆ แต่พอหนังมันมีท่าทีจงใจเพื่อให้เกิดฉากจลาจลนี้ให้เห็นชัดไปหน่อยและอยู่ๆ ก็นึกถึง The Raid 2: Berandal (Gareth Evans / Indonesia / 2014) ขึ้นมาก็เลยดร็อปลงไปเยอะ  และฉากไคลแม็กซ์ที่เซ็ตติ้งทำให้นึกถึงไคลแม็กซ์ใน Oldboy (Park Chan-wook / South Korea / 2003)  ซึ่งดูเว่อร์วังขึ้นมาหน่อยก็ดูสนุกดี  แต่ก็อย่างว่าแหละมันทำให้นึกถึงหนังเรื่องอื่น  แถมอย่างที่บอกตอนต้นว่าพล็อตหนังมันมีเรื่องราวการค้ามนุษย์  แถมยังมีนักแสดงนำเป็นพี่จาคนเดิมอีกเหมือนกับ Skin Trade ที่เพิ่งเข้าฉายไปไม่นานนัก  มันก็เลยลดทอนความพิเศษลงไปเยอะ  แต่ที่คุ้มมากๆ คือการที่ได้เห็น จา พนมกู่เทียนเล่ออู๋จิงแอนดี้ อัน  และรวมถึง เยิ่นต๊ะหัว ที่มาร่วมบู๊ซัดหมัดสาดกระสุนในเรื่องเดียวกันได้มันส์มาก  ติดสอยมาด้วย น้องอันดา-กุลฑีรา ยอดช่าง ในบทลูกสาวของจา พนม!!!