Rambo: Last Blood (2019) แรมโบ้ 5 นักรบคนสุดท้าย

Untitiled05693

ผมดู Rambo ภาคนี้ในวันที่ได้ข่าวว่า Rambo อาจมีภาค 6 ตามออกมาครับ ประมาณว่าพี่ Sylvester Stallone ออกมาแพลมๆ ว่าเขาอาจจะทำ Rambo 6 ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพราะภาคนี้มันยังไม่เข้าเป้าตามที่พี่เขาต้องการหรือเปล่า เพราะคำชมก็ไม่มาก รายได้ก็กลบทุนแบบหมิ่นๆ

แตก่็นั่นล่ะครับ ถ้าพี่เขาทำออกมาก็พร้อมตามดูเสมอ แต่ตอนนี้เราก็มาว่ากันถึงภาคนี้ก่อนแล้วกันนะครับ

คราวนี้จอห์น แรมโบ้ (Stallone) ของเรากำลังใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและค่อนข้างมีความสุขครับ เขามีบ้าน มีผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ให้ขี่ม้าและทำอุโมงค์ใต้ดินเล่น และที่สำคัญที่สุดคือเขามีหลานแสนน่ารักนามว่า กาเบรียลล่า (Yvette Monreal) ซึ่งทุกอย่างดูจะไปได้สวยครับ เขาใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ดูหลายสาวเติบโต แม้จะมีภาพฝันร้ายเมื่อสมัยสงครามผุดขึ้นมาบ้างก็ตาม แต่อย่างน้อยช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตของเขาก็ถือว่าได้สัมผัสกับความสุุขและด้านสวยงามของโลกเป็นส่วนใหญ่

แต่แล้วทุกสิ่งมีอันต้องมาพังทลายเมื่อหลานสาวของเขาถูกพวกแก๊งค้ามนุษย์จับตัวไว้ แรมโบ้จึงต้องออกโรงไปช่วยเธอครับ แต่จะช่วยทันหรือไม่และบทลงเอยจะเป็นเช่นไร คำตอบรออยู่ในหนังครับ

จริงๆ ตอนจบของภาคนี้มันก็เหมือนเป็นภาคจบจริงๆ นั่นแหละครับ มีการเอาภาพของตอนเก่าๆ มาร้อยเรียงใส่ลงใน End Credits ก็ได้อารมณ์อำลาหนังชุดนี้ดีครับ เพียงแต่ตอนนี้ผมก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะจบจริงไหม ลองว่าพี่สไลมาบอกว่าอยากทำภาค 6 แบบนี้ และพอลองย้อนคิดไป ตอนทำหนัง Rocky V ก็ยังลงชื่อภาคไว้ว่า Final Bell แต่พอทำออกมาแล้วมันไม่แล้วใจ (รายได้ไม่ดี คำวิจารณ์ก็ไม่สวย) พี่เขาก็ยังทำ Rocky Balboa ตามออกมาเป็นภาคจบอีกที ดังนั้นแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับหากจะมีภาค 6 ตามออกมาอีก

สำหรับ Rambo ภาคนี้ ถือว่าอยู่ในระดับโอเคครับ พล็อตเรื่องนี่จริงๆ ชวนให้นึกถึง Taken เลยนะ (และแน่นอนว่า Taken สนุกกว่าเรื่องนี้ครับ 555) แต่แม้พล้อตจะซ้ำทาง ทว่ามันก็เหมาะกับเรื่องครับ เพราะมันต้องเกิดเรื่องแบบนี้แหละแรมโบ้ถึงจะกลับมาบ้าคลั่งถล่มแค้นได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้

Untitiled05694

ผมชอบช่วงต้นๆ เรื่องนะครับ หนังปูพื้นได้ดีว่ากาเบรียลล่ามีผลต่อชีวิตแรมโบ้ยังไง และแรมโบ้เองก็ดูมีความสุขเพียงไหนที่มีหลานน่ารักแบบนี้ ครั้นพอเรื่องเดินมาถึงตอนที่เธอโดนล่อลวงไปนั้น หนังก็ทำได้หดหู่ไม่น้อย ดูแล้วอดสลดใจไม่ได้ครับ เพราะเรื่องโหดร้ายแบบนี้มีอยู่จริงๆ ในโลกของเรา (จะว่าไปแล้ว มันโหดร้ายกว่าที่เราเห็นในหนังเสียด้วยซ้ำ)

แต่หนังอาจอ่อนแรงลงไปหน่อยเมื่อถึงตอนที่แรมโบ้ไปตามหาหลานถึงเม็กซิโก ช่วงที่ว่านี่แรมโบ้โดนเล่นงานง่ายไปนิด คือถ้าจะมองว่าเขี้ยวเล็บเขาทื่อลงหน่อยหลังจากมีชีวิตที่มีความสุขมานานเป็นสิบปีก็พอได้เหมือนกันครับ แต่ในแง่ความรู้สึกแล้วเราอยากเห็นพี่แรมโบ้แกซุ่มดักเก็บไอ้พวกวายร้ายมากกว่าจะอยากเห็นเขาโดนกระทืบ

และพอมองย้อนไปถึง Taken ที่ช่วงกลางเรื่องมันสนุกก็เพราะพระเอกได้ใช้ปฏิภาณไหวพริบในการสืบหาคนร้ายและใช้ศิลปะป้องกันตัวแบบเทพๆ มาเสิร์ฟความเร้าใจ นั่นเลยทำให้ความสนุกของ Taken ไม่มีผ่อน มีแต่ทวีความสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ Rambo 5 นี่จะมีช่วงกลายๆ เรื่องที่ดูช้าลงบ้าง ซึ่งสำหรับผมแล้วก็ไม่ถึงกับแย่อะไรครับ เพียงแต่ความน่าติดตามและความตื่นเต้นมันขาดห้วงไปนิดเท่านั้นเอง

และความมันส์ก็จะเริ่มมาเมื่อหนังเข้าถึงช่วงสุดท้ายครับซึ่งเป็นอะไรที่เรารอดูมานาน นั่นคือพี่แรมโบ้ไล่ซุ่มฆ่าพวกตัวร้าย ก็ถือว่าสาใจอยู่เหมือนกัน

โดยรวมแล้ว Rambo ภาคนี้ก็ไม่ถึงกับขี้ริ้วอะไรครับ มันคือหนังแอ็กชันสไตล์ยุค 90 ที่เน้นสะใจและความระเบิดระเบ้อ เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงขั้นสุดหรืออิ่มพอดีแบบที่ Rocky Balboa หรือ Rambo 4 เคยทำไว้

จริงๆ ถ้าจะให้ภาคนี้เป็นภาคจบมันก็ไม่เลวหรอกครับ แม้ผลลัพธ์จะยังไม่สุด แต่ก็ถือว่าพอกล้อมแกล้มได้ และอยากน้อยภาพตอน End Credits มันก็ส่งอารมณ์เป็นภาคจบได้โอเคอยู่

แต่ผมชอบประเด็นหนึ่งในหนังนะครับ นั่นคือประเด็นที่ว่า “โลกนี้มีมุมโหดร้ายเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด” โดยเฉพาะคนที่ยังอ่อนต่อโลกนี่อาจจะคาดไม่ถึงเลยว่าโลกนี้น่ากลัวได้ถึงเพียงไหน

ซึ่งคำว่า “คนที่ยังอ่อนต่อโลก” ในที่นี้ไม้ได้จำกัดความถึงเฉพาะคนอายุน้อยหรือวัยรุ่นเท่านั้นนะครับ แต่หมายความรวมถึงบางคนที่แม้จะอายุมากแล้ว แต่ยังไม่เคยได้รับรู้ด้านโหดร้าย (แบบสุดขั้ว) ของโลก ก็อาจจะมองว่าโลกไม่ได้แย่ขนาดนั้น หรือนึกภาพตามไม่ออกว่าในสถานการณ์ที่มนุษย์เห็นแก่ตัวอย่างสุดขั้ว หรือชั่วร้ายแบบสุดขีดนั้นมันจะอันตรายต่อเราได้ขนาดไหน และหากเราไปอยู่ในสถานการณ์นั้นแล้ว โอกาสที่เราจะรอดนั้นจะมีน้อยขนาดไหน

Untitiled05695

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมสังเกตว่าประเด็นนี้ถูกยกมาใส่ในหนังหลายเรื่องครับ โดยเฉพาะหนังที่เป็นภาคต่อของหนังเก่าๆ ในยุค 80 – 90 อย่างเช่น Rambo 4 ก็มีการเปิดประเด็นนี้ไว้ และที่เห็นชัดหน่อยก็คือ Halloween เป็นต้น ประเด็นจะคล้ายกัน มันจะแสดงให้เราเห็นว่าคนสมัยนี้จะนึกภาพไม่ออกว่าเรื่องเลวร้ายที่สุดที่คนยุคก่อนเคยเจอนั้นมันจะเลวร้ายได้ขนาดไหน อย่างใน Halloween นั้นลอรี่ สโตรดพยายามที่จะบอกทุกคนว่าเธอเคยเจอเรื่องที่เลวร้ายสุดขั้วมาแล้ว และอยากให้ทุกคนระวังไว้เพราะเรื่องแบบนี้มันเกิดได้ทุกเมื่อ แต่ทุกคนก็จะมองว่าทำไมลอรี่มัวแต่มองโลกในแง่ร้ายแบบนั้นล่ะ? โลกนี้ยังมีแง่ดีให้มองอีกตั้งเยอะแยะ ซึ่งอันนี้ก็ว่าไม่ได้ครับ เพราะการที่คนสมัยนี้ไม่ค่อยเห็นเรื่องที่เลวร้ายในเลเวลนั้นมาก่อน (รวมถึงมีชีวิตที่สะดวกสบายกว่าคนยุคก่อน) ก็ยิ่งมองว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่โลกจะเลวร้ายได้ขนาดนั้น

แต่พอเจอด้านมืดของโลกแบบขนานหนักเข้ากับตัว ก็ตัวเกร็ง จับไข้ ไปไม่เห็น ช็อคไปเลย

ใน Rambo 5 หนังก็สื่อประเด็นนี้อยู่ครับ ในแง่หนึ่งเหมือนเป็นหนังสอนบทเรียนชีวิตนะ อย่างกาเบรียลล่าเองนั้นเป็นคนยุคใหม่ที่ทันสมัย หากพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีหรือเครื่องมือเครื่องใช้ในปัจจุบันล่ะก็ รับรองว่าเธอเชี่ยวชาญกว่าแรมโบ้หลายปีแสง แต่ขณะเดียวกันเธอก็ยังไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะรู้ได้ว่าโลกยังมีด้านมืดสุดขั้วอยู่ เธอยังไม่รู้ว่าคนมันจะหลอกลวงกันได้อย่างร้ายกาจแค่ไหน เธออาจนึกไม่ถึงว่าคนจะทำร้ายกันถึงขั้นฆ่าแกงกันได้อย่างไร… จนกระทั่งเธอได้เจอกับตัว นั่นก็อาจจะสายเกินไปแล้ว

ประเด็นในหนังนั้นมันไม่ได้มีจริงแค่ในหนังครับ ความจริงคือเราเจอข่าวอยู่แทบทุกวัน เด็กสาวบางคนหายตัวไป เด็กสาวบางคนถูกทำร้าย ถูกข่มขืน ถูกฆ่า โดยฝีมือของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน ใช่ครับ คนนี่แหละ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดจากขุมนรกหรือผีสางจากต่างมิติ แต่มันคือคนด้วยกัน ซึ่งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็อาจไม่เคยนึกมาก่อน หรือนึกภาพไม่ออกว่าคนจะกระทำต่อคนด้วยกันอย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้

จุดนี้ผมเข้าใจวัยรุ่นนะ เพราะผมเองก็เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนครับ ย้อนนึกไปตอนอายุสัก 18 – 22 นี่เป็นช่วงพีคช่วงหนึ่งเลย เราจะมั่นใจว่าเรารู้ทุกอย่างมากพอ และไม่ชอบเท่าไรหากผู้ใหญ่จะมองว่าเรายังเด็ก หรือผู้ใหญ่มองว่าเรายังรู้อะไรไม่มากพอ แต่เราจะคิดเถียงในใจ (และบางครั้งก็เถียงออกไป) ว่าเราโตแล้ว เรารู้แล้ว เราแยกแยะได้ เราวิเคราะห์ได้ เราอ่านมาเยอะ เราสังเกตรอบตัวอยู่ตลอด เรามีสมอง ฯลฯ

… ต้องรอจนเราอายุสัก 35 อัพน่ะครับ ถึงจะเริ่มตระหนักว่า “มิติของโลกนี้มันมีอะไรมากกว่าที่เราเคยรู้จริงๆ แฮะ” และเราก็จะมองตัวเองย้อนกลับไปในวัยนั้น… มองเห็นว่าเรานั้น ช่างเยาว์นักจริงๆ (แต่มั่นใจได้เลยว่าต่อให้ผมตอนอายุจะ 40 ย้อนเวลาไปบอกเรื่องนี้กับตัวเองตอนอายุ 19 ผมก็คงไม่เชื่อและต้องสรรหาเหตุผลพันล้านประการมาโต้แย้งอย่างแน่นอน)

Untitiled05696

สาระสำคัญประการหนึ่งที่อยากให้หลายๆ คนได้จากหนังเรื่องนี้ ก็คือ อย่าประมาทกับชีวิตครับ อย่าคิดว่าโลกนี้มันจะไม่เลวร้ายเกินกว่าขอบเขตที่เราเคยรู้ อย่าไว้ใจใครโดยง่าย หรือถ้าเรารู้ว่าถิ่นที่แห่งไหนอาจนำพาเราไปสู่อันตรายก็อย่าเสี่ยงเข้าไป

อย่างน้อยหนังก็ทำเรื่องนี้สำเร็จนะครับ ทำให้เราอดสลดไม่ได้กับการที่กาเบรียลล่าต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ เพระาเธอไม่คิดว่าเรื่องมันจะเลวร้ายได้ถึงขนาดนั้นครับ เธอไม่คิดว่าพ่อของเธอ (ที่เธอเฝ้ารอตามหา) จะแล้งน้ำใจได้ถึงเพียงนั้น, เธอไม่คิดว่าเพื่อนจะทำกับเพื่อนได้แบบนั้น และเธอไม่คิดว่าคนเราจะกล้าลักพาคนด้วยกันไปโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย (คนที่ไม่สนกฎหมาย มีจริงๆ ในโลกครับ)

หนังกำกับโดย Adrian Grunberg ที่เคยทำ Get the Gringo ของ Mel Gibson มาก่อน ซึ่งเรื่องนั้นก็ค่อนข้างเวิร์กกว่าเรื่องนี้ครับ ส่วนหนึ่งก็เป็นในเรื่องของบทด้วย ในแง่การคุมงานกำกับก็ถือว่าโอเคครับ เพียงแต่ไม่มีอะไรเโดดเด่นหวือหวา และถ้าจะมีอะไรที่ผมอยากเอ่ยชมในหนังเรื่องนี้ล่ะก็ ขอยกให้มุมกล้องของ Brendan Galvin ที่จับภาพมุมกว้างได้จับตามาก ไม่ว่าจะฉากในบ้านทุ่งของแรมโบ้หรือภาพเมืองที่แออัดในเม็กซิโก รวมถึงฉากในอุโมงค์ที่จับภาพมาได้ดีครับ จับบรรยากาศในอุโมงค์มาถ่ายทอดได้อย่างพอเหมาะทีเดียว

โดยรวมแล้ว Rambo ภาคนี้ถือว่าดูได้เรื่อยๆ ครับ โดยส่วนตัวชอบกว่าภาค 3 แต่ก็ยังสู้ภาค 1, 2 และ 4 ไม่ได้ แต่หากดูแบบไม่คาดหวัง คิดเสียว่าขับรถแวะไปเยี่ยมพี่จอห์น แรมโบ้สักครั้ง ก็ไม่เลวเหมือนกันครับ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)