Only the Brave (2017) คนกล้าไฟนรก

Untitled06520

ใครที่คาดหมายว่าหนังเรื่องนี้จะจัดเต็ม Effect กระหน่ำแอ็กชัน อุดมฉากเร้าใจลุ้นระทึกแบบที่หนังแนวภัยพิบัติส่วนใหญ่มักจะเป็นกันล่ะก็ ขอบอกตรงนี้เลยครับว่า Only the Brave ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย

จริงครับที่หนังเรื่องนี้คือแนวภัยพิบัติ แต่หนังไม่ได้ประเคนฉากเสียวไส้เสี่ยงตายมาให้เราชม ตรงข้ามครับ หนังนำเสนอในเชิงดราม่าเป็นหลัก บอกเล่าเรื่องราวของหน่วย Granite Mountain Hotshots ที่หน้าที่ของพวกเขาคือการต่อสู้กับไฟป่าสารพัดชนิด วิธีการต่อสู้ของเขาก็จะไม่เหมือนกับนักดับเพลิงในเมือง งานหลักๆ ของพวกเขาจะเป็นการ “สกัดเพลิง” ครับ

ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีไฟป่าโหมกระหน่ำเข้ามา สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือหาพิกัดทิศทางที่ไฟจะไหม้ลามมา โดยประเมินจากพื้นที่ ทิศทางลม ฯลฯ เมื่อเจอจุดที่ว่าแล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะดำเนินการจุดไฟเผาจุดนั้นเสียให้ราบ เพื่อตัดเส้นทางไฟที่จะลาม ทำให้พื้นที่ตรงนั้นไหม้จนเหลือแต่พื้นดินเปล่าๆ และพอที่ตรงนั้นไม่มีต้นไม้เหลือให้ไฟมันไหม้ต่อ ไฟที่กระหน่ำก็จะหยุดลงตรงนั้น เท่านี้ก็เป็นอันจบภารกิจ (แต่กว่าจะทำได้แบบนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อยครับ)

หนังพาเราไปรู้จักกับคนในทีมที่นำโดย เอริค มาร์ช (Josh Brolin) หัวหน้าทีมที่ทุ่มเทให้กับงานแบบเกินร้อย และคนที่เพิ่งเข้าทีมมาใหม่อย่าง เบรนแดน (Miles Teller) ที่ตั้งใจทำงานนี้เพื่อตั้งหลักปักฐานให้ตัวเอง หลังจากก่อนหน้านี้ทำตัวลอยไปลอยมา ไม่เป็นโล้เป็นพายเสียนาน (สิ่งที่ทำให้เขาคิดได้ก็เพราะเขาเพิ่งมีลูกสาวครับ)

ยอมรับครับว่าตอนแรกผมก็คิดเหมือนกันว่าหนังน่าจะมาในแนวทางที่หนังแนวนี้มักจะเป็น คือพาเราไปร่วมผจญภัยกับทีมผจญเพลิง มีเหตุการณ์เสี่ยงตายชวนลุ้นมาเสิร์ฟให้เราตื่นเต้นเป็นระยะ แต่เปล่าครับ ไม่ใช่เลย เพราะหนังเน้นหนักไปที่เรื่องราวชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าจะการพิสูจน์ตัวเองให้หน่วยเหนือตระหนักถึงความสามารถ หรือเรื่องชีวิตส่วนตัวที่แต่ละคนก็จะมีปมของตัวเอง อย่างเอริคก็ประสบปัญหาชีวิตรัก เนื่องจากเขาทุ่มเทให้งานมากจนมีเวลาให้กับคนรัก (Jennifer Connelly) น้อยลงเรื่อยๆ จนก่อให้เกิดรอยร้าวตามมา

Untitled06521

หรือตัวเบรนแดนเองที่ตอนแรกก็เอาแต่สำมะเลเทเมา เล่นยาบ้างอะไรบ้าง ไม่คิดจะทำงานจริงจัง แต่พอได้รู้ว่าตัวเองมีลูกเขาก็คิดเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ ซึ่งก็พอดีที่เขาตัดสินใจเข้าหน่วยของเอริคครับ ซึ่งที่นั่นนอกจากเขาจะได้เรียนรู้งานดับเพลิงแล้ว เขายังได้เรียนรู้วิชาชีวิตจากเพื่อนร่วมทีม อันทำให้เขาเข้มแข็งและเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นตามลำดับ

ถ้าถามว่าหนังสนุกไหม? คำถามสำคัญก็คงต้องถามตัวเองก่อนน่ะครับว่าชอบหนังแนวชีวิตไหม เพราะนี่ไม่ใช่หนังวิ่งหนีภัยพิบัติทุนสูงแบบที่ฮอลลีวู้ดชอบทำออกมา แต่นี่คือการนำเอาเรื่องจริงบทหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นบนแผ่นดินอเมริกามาบอกเล่าให้เราได้รู้ถึงวีรกรรมของหน่วย Granite Mountain Hotshots ที่ช่วยปกปักษ์และพิทักษ์แผ่นดินของพวกเขาแบบมอบกายถวายชีวิต แต่แม้พวกเขาจะช่วยเหลือชาวเมืองและผืนแผ่นดินเอาไว้ก็ตาม ทว่าการทำเช่นนั้นก็ทำให้พวกเขาต้องแลกด้วยความสุขส่วนตัว และชีวิตครอบครัว (แบบเดียวกับคนที่ทุ่มเทในงานมากๆ มักจะต้องเจอ)

สำหรับผมแล้ว ผมชอบครับ… โอเค ตอนต้นๆ อาจจะมีวาระอืดเอื่อยอยู่บ้าง ในช่วงแนะนำตัวละคร (ตามสไตล์ของหนังแนวนี้) แต่พอดูไปเรื่อยๆ แล้วพลังดาราจะค่อยๆ ดึงเราเข้าสู่เรื่องราวครับ จะค่อยๆ ทำให้เราอิน เพราะแต่ละคนแสดงกันได้ดีทั้งสิ้น ซึ่งก็ต้องชมคนแคสติ้งด้วยที่คัดดาราระดับคุณภาพมา ไม่ว่าจะ Brolin, Teller, Connelly, Jeff Bridges, James Badge DaleTaylor Kitsch และรายอื่นๆ ที่ผมอาจไม่คุ้นชื่อแต่ทุกคนก็ทำให้เราเชื่อครับว่าพวกเขาคือทีมนักผจญเพลิงที่ทุ่มเทจริงๆ และคนในทีมก็ปฏิบัติต่อกันแบบเสมือนหนึ่งเป็นพี่น้องกันจริงๆ แล้วพอดูไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้สึกผูกพันกับพวกเขามากขึ้นตามลำดับ

ของดีของหนังจึงอยู่ที่การแสดงดีๆ ในขณะที่ฉากไฟไหม้นั้นเอาเข้าจริงมีไม่เยอะครับ แต่ละฉากก็ไม่ได้ชวนลุ้นรุนแรงอะไร แต่ยอมรับว่าถ่ายภาพออกมาสวยครับ ไม่ว่าจะฉากไฟไหม้หรือช็อตมุมกว้างที่แสดงให้เห็นถึงผืนดินที่พวกตัวเอกต้องปกป้อง ดูสวย งดงาม และอลังการดีทีเดียว ซึ่งก็ต้องขอชื่นชมผู้กำกับภาพ Claudio Miranda ที่เคยได้ออสการ์ไปจาก Life of Pi แล้วก็ถือได้ว่าเขาเป็นทีมงานคู่บุญของผู้กำกับ Joseph Kosinski ไม่ว่าจะ Tron Legacy, Oblivion แล้วล่าสุดก็ตามไปร่วมงานกันใน Top Gun: Maverick ด้วยครับ

จนถึงนาทีนี้ ผมยกให้นี่เป็นงานกำกับที่ดีที่สุดของ Kosinski ผลงานที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเขาจะดูเด่นในงานภาพมากกว่าการเล่าเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นการพิสูจน์ตัวเองครับว่าเขาสามารถเล่าเรื่องดราม่าที่ดู Real ดูติดดิน และทำให้คนดูอินตามไปด้วยได้ แม้อาจจะไม่ถึงกับยอดเยี่ยมมากๆ จนถึงขนาดไร้ที่ติก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาทำให้เรารู้สึกได้ว่าคนในทีมดับเพลิงต่างก็มีเลือดมีเนื้อ มีหัวใจ และมีความรู้สึกทั้งกล้าและกลัวเฉกเช่นเดียวกับคนธรรมดาเดินดิน โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์น่ะครับ ยอมรับเลยจริงๆ ว่าบีบหัวใจมากๆ และฉากที่ว่านี่สามารถเนรมิตภาพของไฟป่าได้อย่างน่าขนลุก พูดตรงๆ เลยก็คือแม้หนังเรื่องนี้อาจมีฉากไฟป่าไม่เยอะ แต่เอาแค่ฉากนี้ฉากเดียวนี้ก็เกินพอแล้วครับ แค่ฉากเดียวก็นิยามความน่ากลัวของไฟป่าได้อย่างสุดยอดแล้วล่ะ – ฉากเดียวพอจริงๆ

สรุปว่าเป็นหนังภัยพิบัติที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่งครับ ดีในที่นี้คือดีในเชิงอารมณ์ ดีในเชิงดราม่า ที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงวีรกรรมของคนกล้าที่ต้องเสียสละอย่างมากมายเพื่อทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง หนังอาจจะไม่ได้มาพร้อมฉากหวือหวา Effect หนาตา แต่หนังสามารถจับหัวใจเราไปเขย่าได้สำเร็จเมื่อเรื่องดำเนินถึงช่วงท้าย

แม้ท่านจะไม่ชอบหนังดราม่า แต่ก็อยากให้ลองดูนะครับ เพราะเรื่องราวของนักดับเพลิงทีมนี้ ควรค่าแก่การรับรู้และรับชมสักครั้งจริงๆ… เชื่อผมเถอะ

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

(7.5/10)