I Still Believe – จะรักให้ร้อง จะร้องให้รัก

I Still Believe – จะรักให้ร้อง จะร้องให้รักเหนือสิ่งอื่นใดคงต้องบอกกับทุกคนก่อนเลยว่า นอกจากจะเตรียมตัว-ปรับอารมณ์เข้าไปดูหนังรักเรื่องนี้ ได้โปรดเตรียมกระดาษทิชชู่และหน้ากากสำรองอีกสักชิ้นติดตัวเข้าไปในโรงหนัง เพราะ “I Still Believe” คือหนังที่เต็มไปได้ด้วยความซาบซึ้งของพลังแห่งความรักของคู่รักคู่หนึ่งที่มีต่อกัน ด้วยความเชื่อและศรัทธา ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์แสนบริสุทธิ์ที่ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางจะต้องเจออุปสรรคหนักหนาแค่ไหนถ้าหากอยากจะถามว่า “หนังเรื่องนี้ทำให้ฟูมฟายหรือไม่?” คำตอบก็คือไม่…ไม่ถึงขนาดนั้น แต่หนังจะพาเราเข้าไปตามดูชีวิตรักของคู่รักคู่หนึ่งที่เปี่ยมล้มไปด้วยความศรัทธาในบางอย่างที่พวกเขาต่างยึดเหนี่ยว และก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ที่ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีอยู่จริงๆ หรือไม่ หนังไม่ถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ก็อาจจะทำให้มีโมเมนท์น้ำตาไหลหยดแหมะ ทำให้หน้ากากที่สวมอยู่ต้องชื่นได้ด้วยเช่นกันนี่คือเรื่องราวความรักที่อิงมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับนักร้องแนวเพลงคริสเตียนร็อค-บัลลาด “เจเรมี แคมป์” ที่ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในนักร้องคันทรี่ชื่อดังของอเมริกาอีกคนเลยทีเดียว ช่วงเวลาของวัยเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยของเขา ได้มาพบเจอกับ “เมลิสซา” หญิงสาวที่เขาเห็นเธอยืนดูคอนเสิร์ตที่แถวหน้าด้าน กลายเป็น Love at First Sight ผสมกับ Love at First Saw ที่เขาอยากทำความรู้จักกับเธอเป็นอย่างมากการที่ เมลิสซา เดินเข้ามาในชีวิตของเขา เหมือนกับดวงดาวที่สุกสกาว เธอคือแสงที่หล่อเลี้ยงหัวใจของเขา แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาความสุขมักจะสั้นเสมอ เมื่อเธอถูกวินิจฉัยพบก้อนเนื้อร้ายที่เป็นเชื้อมะเร็งอยู่ในร่างกาย ทำให้กลายเป็นบททดสอบชีวิตครั้งสำคัญระหว่างเขากับเธอ แม้ว่าใครจะมองว่าเป็นเพียงความรักตามประสาวัยรุ่น แต่พวกเขากลับทุ่มเทและเฝ้าศรัทธา ภาวนาของให้ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้น เพื่อความรักจะได้สมปรารถนาในครั้งนี้ว่าถึงตัวหนังก็ไม่ได้มีความสดใหม่อะไรแต่อย่างใด ซ้ำยังให้ความรู้สึกเหมือนหนังดราม่าสอดแทรกคำสอนของพระเจ้าที่ฉายตามช่องเคเบิ้ลทีวีในอเมริกาด้วยซ้ำ แต่ด้วยพล็อตเรื่องที่ค่อนข้างซาบซึ้งกินใจ จึงทำให้หลายๆ องค์ประกอบที่ดูซ้ำซาก คาดเดาได้ไม่ยาก แต่หนังก็สื่ออารมณ์ไปได้ถึงจุดนั้นที่ต้องการอย่างพอเหมาะพอดีแน่นอนว่านี่คือหนังที่มีความเป็นคริสเตียนสูง เป็นหนังที่อิงคำสอนของคริสตศาสนาที่มักจะสร้างออกมาอยู่เรื่อยๆ ในวงการหนังฮอลลิวูด เป็นหนังที่ลงทุนไม่มากแต่ได้กระแสตอบรับค่อนข้างดี เมื่อนำมาใช้ในบ้านเราที่เป็นเมืองพุทธ ในบางประเด็นก็อาจจะไม่ได้ทำให้รู้สึกอินไปตามเนื้อหาไปสักเท่าไหร่ แต่บนพื้นฐานความเชื่อและความศรัทธาของทุกๆ ศาสนาก็มักจะคล้ายกัน จึงไม่ถือเป็นข้อสะดุดของหนังเรื่องนี้เท่าไหร่มาถึงด้านการแสดงก็ถือว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี “เคเจ อาปา” ที่ยังคงดูติดภาพมาจากซีรีส์ “Riverdale” อยู่ตลอดทั้งเรื่อง (คาดว่าน่าจะถ่ายทำในช่วงเดียวกัน) แต่เขาก็ได้ปรับโทนและอารมณ์ได้เข้ากับตัวละครเป็นอย่างดี อาจจะไม่ใช่ผลงานการแสดงที่ดีที่สุดของเขา แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่เขาต้องทำหน้าที่แบกรับอะไรหลายๆ อย่างเอาไว้ทั้งเรื่องขณะที่ “บริตต์ โรเบิร์ตสัน” ก็ดูจะสดใสตามคาแรกเตอร์ของตัวละครดี แม้จะไม่ได้ให้การแสดงที่แปลกใหม่อะไรสำหรับเธอ แต่ก็ถือว่าเป็นจังหวะที่กำลังพอดี ที่เธอกับเคเจเป็นคู่พระนางที่ค่อนข้างมีเคมีที่ดีต่อกัน เมื่อเวลาขึ้นจอด้วยกันจะเห็นถึงเคมีนั้นขับออกมาได้เป็นอย่างดี ที่ถือว่าเป็นการเติมเต็มฉบับสมบูรณ์แบบของคู่นี้ หลังจากที่เคยเห็นแว่บๆ ด้วยกันจากในเรื่อง “A Dog’s Purpose”ตัวละครอื่นก็ยังรู้สึกเฉยๆ เพราะดูเหมือนว่าหนังไม่ได้โฟกัส ไม่ว่าจะเป็นบทน้องชายทุพพลภาพของพระเอก หรือบทพี่สาวของนางเอก ที่สามารถขยายใจความไปได้กว่านี้อีก แต่หนังก็ไม่ได้เลือกที่จะเน้นสร้างมิติให้กับตัวละครสมทบ ทำให้พวกเขาดูเป็นเพียงตัวละครของเรื่องไปก็เท่านั้น แต่ที่รู้สึกเซอร์ไพรส์เบาๆ ก็คงจะเป็น “ชะไนยา ทเวน” เจ้าของเพลงฮิตติดหูคนไทย I’m Goona Getcha Good! ที่มาปรากฏตัวในฐานะแม่พระเอก เพราะยังไม่เคยเห็นเธอทำการแสดงมาก่อนเลยอีกหนึ่งไฮไลท์ของหนังเรื่องนี้ก็คงจะต้องเป็นบทเพลง แน่นอนว่าอัดแน่นไปด้วยเพลงที่มีเนื้อหาคุณภาพถึงความรักและความศรัทธาต่อพระเจ้า สไตล์แนวเพลงคริสเตียน แต่ละเพลงก็มีความหมายลึกซึ้งเป็นอย่างดี เป็นเพลงที่เรียกแรงศรัทธาและความเชื่อในคริสตศาสนา และก็แน่นอนว่าหลายๆ เพลงก็คือเพลงที่ เจเรมี แคมป์ ตัวจริงร่วมแต่งให้ อีกทั้งยังสอดแทรกเพลงฮิตของเขา อย่าง “I Still Believe” ตามชื่อเรื่อง กับ “Walk By Faith” เอาไว้ในหนังด้วยโดยสรุปแล้ว I Still Believe ก็เป็นหนังรักดราม่าที่ค่อนข้างย่อยง่าย แม้ว่าจะมีการสอดแทรกถึงคริสตศาสนาอยู่เต็มไปหมด แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์คิดและเตือนใจทุกคนได้ หนังไม่ได้มีความสดใหม่ในเนื้อหา พล็อตก็พอที่จะเดาทางได้ และมีจุดขายที่ความรักดราม่าที่ไม่ถึงขนาดฟูมฟาย แต่ก็ทำให้หน้าชื่นๆ ประมาณหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นหนังรักที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนดูได้อยู่ อย่างน้อยๆ ก็พลังขับเคลื่อนในความรักและการดำเนินชีวิตอยู่