Destination Wedding (2018) ไปงานแต่งเขา แต่เรารักกัน

Untitiled05615

ถ้าฟังจากเรื่องย่อก็ชวนให้คิดว่าหนังจะมาในแนว Before Sunrise แต่พอดูตัวอย่างแล้วก็รู้สึกว่าหนังน่าจะมาในโทน Woody Allen ที่ให้ตัวละครมาต่อปากต่อคำกันมากกว่า

ครั้นพอได้ดูก็มาในแนวนั้นจริงๆ ครับ เรื่องของ แฟรงค์ (Keanu Reeves) และ ลินด์เซย์ (Winona Ryder) ที่ไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเจอ แต่พอดีว่าทั้งคู่ต้องไปงานแต่งงานเดียวกันเลยต้องเจอกันไปตลอดทาง แล้วยังต้องมาพักในโรงแรมห้องติดกันอีกต่างหาก

หนังก็เป็นไปตามสูตรครับ ตอนแรกเหมือนคู่กัด แต่พอเกินสักครึ่งเรื่องไปพวกเขาก็เริ่มจะหันมากลายเป็นคู่รักกันแทน

ถ้าใครคาดหวังว่าจะได้เจอหนังสไตล์คนแปลกหน้ามาคุยกันข้ามวันข้ามคืนแบบ Before Sunrise หรือ Before We Go ล่ะก็ ขอให้ปรับความคาดหวังโดยเร็วเลยครับเพราะหนังไม่ได้เป็นแบบนั้น จริงครับที่หนังเป็นเรื่องของคนแปลกหน้าชายหญิงมาเจอกันและคุยกันไปตลอด แต่ลีลาการคุยมันออกแนวต่อปากต่อคำ ตบมุกชงมุก ออกแนวซีรี่ส์ Sitcom อะไรแบบนั้นมากกว่า

และโทนหนังยังมาในแนวยุโรปที่ไม่เน้นความหวือหวา เน้นให้ตัวละครเดินเรื่องไป ดังนั้นพลังดาราสำคัญมากครับ ทีนี้ถ้าถามว่าพระ-นางคู่นี้เล่นกันได้ดีไหม ก็ตอบได้ว่าเคมีพวกเขามันไปกันได้ครับ แต่มันไม่ได้ไปกันได้แบบหวานๆ น่ารักๆ ทว่ามันออกแนวคู่หูต่างเพศที่มาเผชิญอะไรๆ ร่วมกันแบบนั้นมากกว่า และบางวาระระหว่างดูมันก็แอบรู้สึกว่าการแสดงของพวกเขามันดูขัดๆ แข็งๆ ยังไงก็ไม่รู้ แต่ถ้ามองในแง่ของเรื่องราวแล้ว ก็เป็นไปได้ล่ะครับว่าคาแรคเตอร์ของพวกเขามันไม่ใคร่จะเข้ากันได้ในตอนแรกๆ อีกทั้งทั้งคู่ยังมางานแต่งนี้แบบไม่ค่อยจะเต็มใจนัก เลยไม่แปลกหากพวกเขาจะแสดงอาการขัดๆ เขินๆ แข็งๆ ต่อกันเสียส่วนใหญ่ ครั้นพอถึงช่วงหลังๆ ก็ค่อยลื่นขึ้น

ของดีอีกอย่างคือดนตรีสไตล์หนังยุโรปของ William Ross คอมโพเซอร์ที่ทำให้ผมประทับใจมากๆ มาแล้วจาก Tin Cup และเขายังเป็นคนเกลาท่วงทำนองดนตรีในหนัง Harry Potter and the Chamber of Secrets ด้วย มาเรื่องนี้ดนตรีเด่นมากจนถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวละครก็ว่าได้ครับ จังหวะเพลงที่เน้นเครื่องดีดกับเครื่องสีที่บรรเลงเกือบตลอดตั้งแต่หนังเริ่มยันหนังจบคือตัวสร้างบรรยากาศให้หนังมีความเบาๆ สบายๆ และน่ารักในหลายวาระ

หนังเขียนบทและกำกับโดย Victor Levin ผู้อยู่เบื้องหลังซีรี่ส์อย่าง Dream On และ Mad About You ซึ่งก็ทำให้เข้าใจล่ะครับว่าทำไมสไตล์มันถึงออกแนว Sitcom แบบนี้ ผลที่ได้ก็ถือว่ากลางๆ ครับ ดูได้เรื่อยๆ แต่ก้ไม่ได้เด่นจับตาจับใจเป็นพิเศษ (ยกเว้นท่านจะชอบ 2 ดารานำเป็นหลักน่ะนะครับ) และนี่ถือเป็นงานกำกับหนังใหญ่ครั้งที่ 2 ของเขาครับ ส่วนเรื่องแรกคือ 5 to 7 ที่ได้ข่าวว่าทำออกมาได้ดี และสไตล์เรื่องก็๋ประมาณนี้ครับ เกี่ยวกับคนสองคนมาใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งไว้ถ้าได้ดูแล้วก็จะเอามาเล่าให้ฟังครับ

เรื่องนี้ก็ถือว่าดูได้แบบเรื่อยๆ ครับ และสำหรับผมแล้ว ผมดูเรื่องนี้ก็เพื่อตามมาดู Reeves กับ Ryder แสดงร่วมกันอีกครั้ง เหมือนดูเพื่อนเก่าสองคนมาแสดงหนังร่วมกัน ดูด้วยอารมณ์ประมาณนั้นเป็นหลักครับ มันเลยไม่ได้ผิดหวังอะไรเท่าไร

สองดาวครับ

Star21

(6/10)

Untitiled05616