Are You Here – ซี้แบบนี้ขอคนเดียวในโลก

ARE YOU HERE 

หลังจากลังเลอยู่นานหน้าโรงหนัง โปสเตอร์เฉิ่มๆ และชื่อหนังแปลกๆอย่าง Are You Here ทำให้ผมตีตั๋วเข้าไปนั่งดูแบบ “งงๆ” แต่แล้วหนังแอบนอกกระแสเบาๆ กลับกลายเป็นอัญมณีในโคลนตมที่ผู้ชมมักเลือกผ่านไปดูเรื่องอื่น หนังเรื่องนี้ตีความหมายและตอบคำถามชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง

สองสิ่งที่ทำให้ตีตั๋วเข้าไปนั่งดูหนังเรื่องนี้คือ “ผู้กำกับ” อย่างแมทธิว เวอนเนอร์ แม้ไม่ได้กำกับหนังสร้างเงินระดับพันล้านเหรียญ แมทธิวเป็นผู้กำกับซีรียส์ชั้นนำในอเมริกา(ฝากผลงานไว้อย่าง Mad Men) และเขายังเป็นผู้กำกับโฆษณาดังๆระดับโลกหลายตัว เขาเป็นปรมาจารย์มากความสามารถและเป็นรุ่นใหญ่คนหนึ่งในวงการสื่อของอเมริกาเลยทีเดียวก็ว่าได้ ดังนั้นการได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เสมอได้ดูเชิงมวย ”รุ่นใหญ่” ตีความชีวิตและถ่ายทอดเรื่องราวออกมาเป็นหนังนั่นเอง

สิ่งที่สองที่ทำให้เข้าไปดูหนังเรื่องนี้คือนักแสดงนำอย่าง โอเว่น วิลสัน นักแสดงตลกจมูกโด่งและตัวประกอบที่เราคุ้นหน้ากันจากภาพยนตร์หลายเรื่องในหลายสิบปีที่ผ่านมา  แซค กาลิเฟียนาคิซ หนุ่มอ้วนหนวดเฟิ้มที่คุ้นหน้าคุ้นตาจากภาพยนตร์เมาปลิ้นอย่าง เดอะ แฮงค์โอเวอร์ โอเว่นและแซคในเรื่องคือสตีฟและเบน คู่หูชีวิตพัง ไม่รู้จักโตอีกทั้งไม่เมาเหล้าก็เมากัญชาตลอดเวลา ใช้ชีวิตล่องลอยราวสายลมจนอายุปาเข้าไปสามสิบปลายๆ ทั้งคู่มีจุดเปลี่ยนเล็กๆที่ทำให้ต้องค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ และเลือกที่จะอยู่แบบเดิมหรือเปลี่ยนแปลง ซึ่งทั้งโอเว่นและแซคถ่ายทอดออกมาได้อย่าง เลื่อนลอยและเข้มข้น สามารถทำให้เราส่ายหัวกับความเบาหวิวของชีวิตสตีฟและเบนคู่หูเมาปลิ้น ได้ด้วยการแสดงที่ตีความออกมาอย่างหนักหน่วง นอกจากนี้เรายังเห็นสไตล์การคัดเลือกนักแสดงหญิงที่มีเสน่ห์หลายๆคนจากผู้กำกับคนนี้ด้วย (ทำให้กระชุ่มกระชวยไม่ใช่น้อย)

“อุดมการณ์ หรือ ขี้แพ้”

สตีฟเป็นนักข่าวภาคบ่ายชีวิตเสเพลฉาบฉวย ไม่เชื่อเรื่องรักแท้และการสร้างครอบครัว มีแค่ตัณหาไม่ต่างอะไรกับสัตว์แค่นั้นในชีวิตมนุษย์  และเบนเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนที่มีชีวิตย่ำแย่ในกระท่อมซอมซ่อ ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพเป็นชิ้นเป็นอันได้ เบนมีแนวคิดต่อต้านระบบทุนนิยม(ที่เขาอาศัยอยู่) เบนเต็มไปด้วยปรัชญาและอุดมคติในการหล่อเลี้ยงชีวิตจากผืนดินและธรรมชาติ ต่อสู้ระบบทุนนิยมสามานย์ไร้คุณธรรม แต่คนรอบตัวเขากลับมองเขาเป็นแค่ “ไอ้ขี้แพ้” ที่เอาตัวเองไม่รอด ไม่รู้จักโต เป็นภาระสังคม ทำให้เบนกดดันและมีภาวะซึมเศร้าและรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าของชีวิต ทั้งสตีฟและเบนต่างต้องต่อสู้กับเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต สตีฟมีสาวสวยที่เข้าใจโลกมากกว่าตัวเขาเป็นแรงผลักดันทำให้เขาอยากต่อสู้และพิสูจน์ตัวเอง ส่วนเบนมีมรดกมูลค่ามหาศาลที่ทำให้เขาไอเดียบรรเจิดและอยากพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถทำตามอุดมการณ์ของตนให้ได้(แม้สุดท้ายเขาต้องใช้เงินแลกกับอุดมการณ์อยู่ดีและกลายเป็นขี้แพ้เหมือนเดิม) 

ช่วงแรกของหนังค่อนข้างเนิบช้า ไม่ชวนติดตามสักเท่าไหร่ แต่จังหวะการเล่าเรื่องทำให้อยู่กับหนังเรื่องนี้ได้โดยตลอด แม้พล็อตอาจจะดูธรรมดาไปสักเล็กน้อยแต่ผู้กำกับก็สามารถตีความได้ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อนและให้แง่คิดเชิงบวกได้ดีทีเดียว ตัวละครทุกตัวจะมีมิติ มีรสชาติ ไม่มีการดำเลยก็ขาวเลย ตัวละครทุกตัวล้วนมีสีสันในตัวของมันเอง และมีการใช้ภาษาภาพและงานออกแบบงานสร้างต่างๆช่วยสร้างสัญลักษณ์และความหมายให้กับตัวละคร และเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างดี อาทิการใช้แสง สี เสื้อผ้าของตัวละคร ล้วนบ่งบอกได้ถึงอารมณ์ วิสัยทัศน์ บุคลิก การคิดตัดสินใจต่างๆของตัวละครได้อย่างดี ความหมายเชิงปรัชญา อุดมคติการใช้ชีวิต การยึดถืออุดมการณ์ ต้องชื่นชมผู้กำกับและนักแสดงที่ตีความออกมาได้อย่างลึกซึ้ง แม้จะเข้าใจยากแต่หากผ่านประสบการณ์หรือมีความรู้เชิงปรัชญาการใช้ชีวิตหรือเชิงทุนนิยม โพสต์โมเดิร์นสักนิดจะเห็นคุณค่าความเปล่งประกายจากสไตล์เฉิ่มๆนิดของหนังเรื่องนี้

แม้ไม่ใช่เพชรแต่หนังเรื่องนี้ก็เปล่งประกายคุณค่าออกมาได้งดงามทีเดียว ถามว่าควรดูไหม ก็แล้วแต่ท่านเถิดไม่ได้เชียร์อะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ได้ครุ่นคิดถึงชีวิตตนเองอยู่ไม่น้อยหลังเดินออกมาจากโรง 

ป.ล. สาวในเรื่องสวยและหุ่นดีมาก เห็นเต็มๆ คุ้ม….