ยอมรับว่าการที่ เชลซี ปลด แลมพาร์ด และแต่งตั้ง ทูเคิ่ล เข้ามาทำหน้าที่แทนเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดเพราะสามารถนำ “สิงห์บลู” คว้าท็อปโฟร์ และมีแชมป์รายการใหญ่กลับมาประดับตู้โชว์สโมสรอีกครั้ง
1.เป๊ปใช้แท็กติกผิดจนทีมพลาด
เป็นอีกครั้งที่ กวาร์ดิโอล่า วางแท็กติกสุดเซอร์ไพรส์ในการจัด 11 ตัวจริงลงสนามในแมตช์ที่สุดสำคัญแบบนี้ และแน่นอนว่าการวางแผนแบบนี้ถือเป็นความผิดพลาดมหันต์
ก่อนเกมหลายๆ คนโดยเฉพาะแฟนบอล “เรือใบสีฟ้า” งงเป็นไก่ตาแตกเมื่อ แฟร์นันดินโญ่ กับ โรดรี้ สองนักเตะกำลังสำคัญถูกจับเป็นตัวสำรอง เพราะการที่ เป๊ป เลือกแท็กติกแบบนี้นั้นหมายความว่า แมนฯซิตี้ จะไม่มีโฮลดิ้ง อยู่ในสนามเลย
หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจังหวะที่ ไค ฮาแวร์ทซ์ หลุดเข้าไปทำประตูมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยหาก แมนฯ ซิตี้ มีกองกลางตัวรับอยู่ในทีม แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การสันนิษฐานเท่านั้น
เป๊ป ยังปรับแท็กติกอีกครั้งเมื่อถอด เดอ บรอยน์ ออกในช่วงกว่า 30 นาทีสุดท้ายเนื่องจากบาดเจ็บ แต่เขาดันเลือกส่ง กาเบรียล เชซุส ลงสนาม นั่นทำให้เกมแดนกลางของ แมนฯซิตี้ ยิ่งตันเข้าไปใหญ่
แม้ว่า เป๊ป จะไม่สามารถนำ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ที่รอคอยได้ก็ตาม แต่เขาก็ยังคงได้รับความไว้วางใจจากบอร์ดบริหาร และแฟนบอลอยู่ดี เพราะถ้าไม่มีชายคนนี้ เรือใบสีฟ้า คงไม่มีทางแล่นมาได้ไกลขนาดนี้
2.ฮาแวร์ทซ์ ตอบแทนด้วยประตูโทนนัดชิง
หลายคนมักจะพูดแขวะ เชลซี ว่าทุ่มเงินซื้อ ไค ฮาแวร์ทซ์ มาทำไมเพราะนักเตะทำผลงานได้แย่สุดๆ และมองว่านี่คือการใช้เงินของ “เสี่ยหมี” ที่สูญเปล่าสิ้นดี 73 ล้านปอนด์ (ราว 2,920 ล้านบาท) ที่ เชลซี ยอมควักเงินจ่ายเป็นค่าเสียหายให้กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในการดึง ฮาแวร์ทซ์ มาเสริมแกร่งต้องบอกเลยว่าฮือฮาสุดๆ เพราะถือเป็นเม็ดเงินที่สูงมากกับการดึงผู้เล่นที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากมายกับทัพ “ห้างขายยา”
ในค่ำคืนนี้ ฮาแวร์ทซ์ ได้แสดงให้เห็นผลงานชั้นยอดของเขา การเล่นประสานงานกับเพื่อนร่วมทีม วิ่งลงมารับบอล และยังมีส่วนสำคัญทำให้ เชลซี เคลื่อนเกมได้อย่างไหลลื่นตามแท็กติกที่ ทูเคิ่ล วางเอาไว้
สำหรับประตูของเขาต้องบอกเลยว่าสุดยอดจริงๆ เพราะเป็นการประสานงานที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่การผ่านบอลของ เมสัน เมาท์ ตามด้วยการวิ่งหลอกของ ติโม แวร์เนอร์ ที่ดึงผู้เล่น แมนฯ ซิตี้ ให้ต้องวิ่งตามประกบ ส่งผลให้ ฮาแวร์ทซ์ มีพื้นที่ว่างและวิ่งทะลุเข้าไปในเขตโทษก่อนจะยิงประตูที่สุดแสนคุ้มค่าของตัวเขา
3.ทูเคิ่ล ผู้ฆ่า เป๊ป อย่างแท้จริง
ความเป็นคู่แข่งกันระหว่าง กวาร์ดิโอล่า กับ ทูเคิ่ล ค่อยๆเข้มข้นขึ้นมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่สมัยที่ทั้งสองคนทำงานอยู่ในประเทศเยอรมัน จนปัจจุบันก็ได้มีโอกาสวัดกึ๋นกันในประเทศอังกฤษ ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะคุ้นเคยแท็กติกของกันและกันเป็นอย่างดี เป๊ป มีสถิติข่ม ทูเคิ่ล แต่ทุกๆอย่างค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อทั้งคู่มาเจอกันอีกครั้งในเมืองผู้ดี และ ทูเคิ่ล จัดการดับซ่า 3 ครั้งหลังสุด ทั้งเขี่ย แมนฯ ซิตี้ ตกรอบรองชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ ชนะในเกมพรีเมียร์ลีกและล่าสุดจม “เรือใบ” ในนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ทูเคิ่ล เป็นกุนซือคนแรกที่สามารถนำทีมที่แตกต่างกันเข้ารอบชิงถ้วยใบโตยุโรป 2 ฤดูกาลติดต่อกัน
ขณะที่ เป๊ป ปรารถนาที่จะเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 4 ที่คว้าโทรฟี่ “หูกาง” ได้ 3 สมัยในฐานะกุนซือ สุดท้ายแล้วนี่คือค่ำคืนของ ทูเคิ่ล เมื่อเขาสามารถตอกย้ำความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับ เป๊ป เป็นเกมที่ 3 ติดต่อกัน นับตั้งแต่ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาคุม เชลซี ในระยะเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้น ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่า กุนซือชาวสแปนิช คงจะแค้นฝั่งหุ่นสุดๆ ที่โดน ทูเคิ่ล ลูบคมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
4.แดนกลาง เชลซี กินขาด
ถ้าไม่ชมแดนกลางของ เชลซี ในเกมนี้ถือว่าผิดมหันต์ เพราะผลงานของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จอร์จินโญ่ ฮาแวร์ทซ์ รวมไปถึง เมสัน เมาท์ ต้องบอกเลยว่าโดดเด่นกินขาดแผงมิดฟิลด์ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ก็องเต้ ยังคงเป็นผู้เล่นที่เต็มไปด้วยพละกำลังและมันสมองของทีม คอยทำหน้าที่ทั้งวิ่งตัดเกมคู่แข่ง เชื่อมเกมระหว่างกองกลางกับแนวรุก รวมทั้งยังพยายามหาโอกาสในการทำประตู ยิ่งเวลาที่ประสานงานกับ จอร์จินโญ่ ทำให้แผงมิดฟิลด์ของ เชลซี แข็งแกร่งมากๆ เพราะทั้งสองคนช่วยกันตัดเกมทำลายจังหวะเวลาที่ แมนฯ ซิตี้ ขึ้นเกมรุก ทำให้แนวรับไม่ต้องทำงานหนักมากนัก ขณะเดียวกันเมื่อมีโอกาสก็เปิดเกมบุกเข้าใส่โจมตีกองหลัง “เรือใบสีฟ้า” จนปั่นป่วน
ส่วนคนที่ต้องบอกว่าฟอร์มน่าประทับใจมากๆ อีกคนก็คือ เมาท์ เพราะเกมนี้เจ้าตัวโดดเด่นมากๆ ต้องบอกเลยว่าผลงานบดบังรัศมีของ ฟิล โฟเด้น เลยทีเดียว โดยเฉพาะจังหวะที่แทงบอลทะลุแนวรับ แมนฯ ซิตี้ ให้ ฮาแวร์ทซ์ หลุดเข้าไปยิงประตูชัยถือว่าทั้งเฉียบคมและแม่นยำ
5.ได้เวลา เชลซี กลับมาทวงความยิ่งใหญ่
การคว้าโทรฟี่ “บิ๊กเอียร์” กลับไปประดับในตู้โชว์ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ครั้งนี้ เป็นแชมป์รายการที่ 17 ในยุคที่ โรมัน อบราโมวิช อภิมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรแห่งนี้ แน่นอนว่านี่คือช่วงเวลาที่หอมหวานของ เชลซี อย่างแท้จริง ตลอด 20 ซีซั่นที่ผ่านมา เชลซี คือสโมสรในเมืองผู้ดีที่คว้าแชมป์รายการใหญ่มากที่สุด เหนือกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (13) แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (13) อาร์เซน่อล (9) และ ลิเวอร์พูล (9)
แน่นอนว่าผลงานของ “สิงโตน้ำเงินคราม” ทำให้พวกเขาควรได้รับการเชิดชูว่าเป็นสโมสรอันดับ 1 ของกรุงลอนดอน แซงหน้า อาร์เซน่อล ไปเรียบร้อยแล้ว ส่วน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ จำเป็นต้องอยู่ใต้ร่มเงาของ 2 ทีมนี้ต่อไป
ความสำเร็จของ ทูเคิ่ล ที่นำ เชลซี คว้าท็อปโฟร์ทั้งๆ ที่ช่วงเดือนมกราคมพวกเขาแทบหมดลุ้นไปแล้วสมัยที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุมบังเหียน และได้แชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก งานนี้ “เสี่ยหมี” คงพร้อมเบิกเงินในธนาคารเพื่อให้ กุนซือเลือดด๊อยท์ช ได้ชอปปิ้งนักเตะที่เขาต้องการ สำหรับการสร้างทีมเพื่อครองความยิ่งใหญ่ทั้งในอังกฤษ และบนแผ่นดินยุโรป
อีกเรื่องถ้าจะไม่พูดถึงคงไม่ได้นั่นก็คือความผิดหวังของชาวเมืองแมนเชสเตอร์ สำหรับเกมฟุตบอลถ้วยยุโรปในฤดูกาลนี้ เพราะทั้ง 2 สโมสรยักษ์ใหญ่ประจำเมืองที่เป็นที่เชิดหน้าชูตา ต้องสวมบทพระรองทั้งคู่
“ข่าวสารวงการฟุตบอลอัพเดทใหม่ล่าสุด ผลบอลสดทุกวัน บทความอัพเดทจาก Ufabet เว็บพนันออนไลน์ “