เจอร์เก้น คล็อปป์ สามารถลบล้างอาถรรพ์ที่ไม่เคยนำ ลิเวอร์พูล ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกม “แดงเดือด” ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้เลยนับตั้งแต่กุมบังเหียน “หงส์แดง” หลังจัดการบุกสอยด้วยสกอร์ 4-2 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา ช่วยเปิดโอกาสในการลุ้นติดท็อปโฟร์ต่อไป
“ปีศาจแดง” เริ่มต้นได้สวยเมื่อได้ประตูจากการยิงของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ไปแฉลบ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ แต่หลังจากนั้น “หงส์แดง” ก็จัดคืนแบบทบต้นทบดอกด้วยการซัด 3 ลูกรวดจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (2 ประตู) และ ดีโอโก้ โชต้า ก่อนที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด จะมายิงเพื่อความหวังให้เด็กผีฝันหวานการพลิกนรกเหมือนที่เคยทำให้เห็นแล้วเกม แต่สุดท้าย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จัดการยิงตอกฝาโลงในช่วงทดเจ็บได้อย่างสุดยอด
เกมนี้อาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรกับ แมนฯยู แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล นี่คือสามคะแนนที่ต่อลมหายใจในการลุ้นทำอันดับคว้าโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลยทีเดียว
1.ปัญหาการรับมือลูกตั้งเตะ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปัญหาใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในหลายๆ เกมที่ผ่านมาก็คือเกมรับ โดยเฉพาะการรับมือกับลูกตั้งเตะ ซึ่งพวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่ามักจะเสียประตูจากจังหวะแบบนี้อยู่บ่อยๆ ประตูที่ ลิเวอร์พูล ตีเสมอก็เริ่มต้นจากจังหวะเตะมุมก่อนที่ ดีน เฮนเดอร์สัน จะชกบอลออกมาไม่ดีขณะที่กองหลัง “ผีแดง” ก็เคลียร์ไม่ขาดทำให้ ฟิลลิปส์ มีโอกาสซัดบอลเข้ามาที่หน้าประตู และ โชต้า โชว์ให้เห็นถึงสัญชาตญาณดาวยิงด้วยการไขว้ขาส่งบอลไปซุกก้นตาข่าย
ในจังหวะที่ “หงส์แดง” ได้ประตูนำ 2-1 ก็มาจากการเปิดฟรีคิก และ ปอล ป็อกบา ประกบ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ พลาดปล่อยให้วิ่งฉีกขึ้นไปโหม่งได้แบบสบายๆ ซึ่งนี่ถือเป็นประตูที่สร้างความแตกต่างให้กับเกมอย่างแท้จริง ส่วนช่วงต้นครึ่งหลัง เฟร็ด รับผิดชอบเต็มๆที่ดันส่งบอลพลาด แต่ในขณะเดียวกัน ลุค ชอว์ ดันประมาทไม่ยอมเคลียร์บอลให้ขาดสุดท้ายเจอการเพรสซิ่งโหดเข้าไปจนเสียบอลและนำไปสู่การเสียประตูที่สาม
2.บ็อบบี้คืนฟอร์มโหด
ผู้เล่นที่คงจะมีความสุขมากๆกับชัยชนะแบบท่วมท้นในเกม “แดงเดือด” คงหนีไม่พ้น ฟีร์มีโน่ เพราะเขาใส่ชื่อตัวเองบนสกอร์บอร์ดได้สองประตู และยังเป็นการยิงประตูครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา
แมตช์นี้ เขาโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นมากๆ สามารถป่วนแนวรับของ แมนฯยู ได้ตลอดที่สำคัญยังพยายามวิ่งหาพื้นที่เพื่อที่จะสร้างสรรค์โอกาสให้กับตัวเอง และเพื่อนร่วมทีม ต้องบอกว่านี่เป็นฟอร์มที่สาวก “เดอะ ค็อป” อยากเห็นมากๆ 2 ประตูที่ทำได้ในเกมนี้ทำให้ “บ็อบบี้” คงรู้สึกโล่งใจหลังจากที่สนิทเกาะหน้าแข้งมานานหลายเกม และยังเป็นการตอกกลับพวกนักวิจารณ์และเกรียนคีย์บอร์ดที่มองว่าเขาไม่ใช่ “หน้าเป้า” ธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ฟอร์มแบบนี้ทำให้ คล็อปป์ ยิ้มระรื่นเพราะนี่คือสิ่งที่เขาอยากได้จาก ฟีร์มีโน่ มากๆ ผลงานของ ฟีร์มีโน่ อาจจะทำให้ คล็อปป์ เลือกที่จะไม่หาหน้าเป้าตัวใหม่มาเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ อย่างไรก็ตามถ้า คล็อปป์ อยากได้ศักยภาพที่แท้จริงของนักเตะรายนี้ การจับเขาไปยืนเป็นเพลย์เมกเกอร์ น่าจะทำให้ทีมได้ประโยชน์มากขึ้นเป็นทีวีคูณ
3.”เจ้าหนูเทรนต์” โชว์ฟอร์มคุณภาพคับแก้ว
ผลงานของ เทรนต์ ในเกม “แดงเดือด” คงทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลอิ่มอกอิ่มใจมากๆ เพราะนี่คือฟอร์มการเล่นที่แสนดุดันซึ่งพวกเขาคุ้นเคยมาตลอดช่วง 2 ซีซั่นที่ผ่านมา “เจ้าหนูเทรนต์” ฟอร์มร่วงกราวรูดนับตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสเป็นต้นมา จนทำให้เขาหลุดจากทีมชาติอังกฤษ อย่างไรก็ตามช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดาวเตะเลือดผู้ดี ค่อยๆ เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้อย่างต่อเนื่อง ผลงานในแมตช์ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้องบอกเลยว่า เทรนต์ มีส่วนต่อชัยชนะอย่างมากการวิ่งเติมเกมรุกของเขาทำให้ ลุค ชอว์ แทบประสาทเสีย งานนี้แบ็กซ้าย “ปีศาจแดง” ทำอะไรไม่ได้เลย จะดันขึ้นสูงก็กลัวโดนส่วนกลับ จะคอยตั้งรับก็รับมือกับ “บังโม” และ “เทรนต์” ไม่ไหว
เกมรับที่หลายคนมองว่าเป็นจุดอ่อนของ “เทรนต์” แต่วันนี้เขารับผิดชอบได้อย่างยอดเยี่ยมทำให้เกมริมเส้นของ แมนฯยู ที่ว่าเด็ดดวงแทบจะเป็นหมั้น และยังช่วยแบ่งเบาภาระ ฟิลลิปส์ กับ วิลเลียมส์ ได้เป็นอย่างดี ส่วนของลูกตั้งเตะงานนี้บอกเลยว่า เทรนต์ รับความดีความชอบไปเต็มๆ เพราะประตูตีเสมอก็เริ่มมาจากการเปิดเตะมุมที่สุดเฉียบคมของเขา ก่อนที่บทสรุปสุดท้ายเป็น โชต้า ที่ทำประตูได้ ส่วนประตูนำ 2-1 ก็มาจากการเปิดฟรีคิกที่เฉียบคมให้ ฟีร์มีโน่ โหม่งเข้าประตูไปอย่างงดงาม สิ่งที่โดดเด่นที่เห็นได้อย่างชัดเจนจาก เทรนต์ ก็คือการวิ่งขึ้นลงไม่มีหมด ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้แนวรับแมนฯ ยูฯ ไม่สามารถจัดการกับเขาได้ เกมนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต เข้ามานั่งชมเกมคงเห็นแล้วว่า “เจ้าหนูเทรนต์” กลับมาเป็นสุดยอดแบ็กขวาอีกครั้งแล้ว และงานนี้จะยอมทิ้งชื่อของเขาเป็นหนึ่งในขุนพล “สิงโตคำราม” ลุยศึกยูโร 2020 หรือเปล่า
4.ไบยี่-ลินเดอเลิฟ ไม่ใช่คำตอบคู่เซนเตอร์แบ็ก
การไม่มี แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ถือเป็นเรื่องเสียหายอย่างมากสำหรับแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะเมื่อมองดูชื่อเซนเตอร์แบ็กที่พวกเขามี ต้องบอกเลยว่าหาความไว้วางใจในการเล่นไม่ได้เลยจริงๆ โซลชา เลือก ไบยี่ ยืนคู่กับ ลินเดอเลิฟ ถือเป็นบททดสอบเพราะการต้องสู้กับเกมรุกที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วและคล่องตัวของ ลิเวอร์พูล มีสิทธิ์ที่จะทำให้พวกเขาโดนถล่มประตูยับได้ง่ายๆ
ทุกอย่างเป็นไปตามคาดทั้งสองคนเล่นไม่ค่อยนิ่งมากนัก มีจังหวะส่งบอลเสียหลายครั้ง แถม ไบยี่ ยังเข้าบอลพรวดพลาดจนเกือบเสียจุดโทษ ส่วน ลินเดอเลิฟ เจอเกมเพรสซิ่งไล่บี้หนักเข้าไปถึงกับเตะบอลสะเปะสะปะเสียอาการหลายครั้งหลายหน สาวก “เร้ด อาร์มี่” บอกว่าจังหวะที่เสียประตูแรกกับประตูที่สามหากมี แม็กไกวร์ อยู่ในสนามคงสามารถช่วยทีมป้องกันได้ แต่ต่อให้มี หรือไม่มี “ผีแดง” พวกเขาก็ยังคงมีปัญหากับการรับมือลูกตั้งเตะอยู่ดี
5.โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่ใช่ของแสลงอีกต่อไป-เปิดทางสว่างลุ้นท็อปโฟร์
นี่คือค่ำคืนที่สาวก “เดอะ ค็อป” รอคอยมานานหลายปีเพราะการมาเยือน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของลิเวอร์พูลถือเป็นของแสลงอย่างแรง โดยเฉพาะในยุค คล็อปป์ ที่ไม่เคยคว้า 3 แต้มกลับบ้านแม้แต่นัดเดียว ตอนนี้อาถรรพ์เหล่านั้นได้สูญสลายไปเรียบร้อยแล้วเมื่อ คล็อปป์ จัดหนักจัดเต็มยัดเยียดความปราชัยให้กับเจ้าบ้านได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคม 2014 และยังเป็นแมตช์แรกที่ กุนซือชาวเยอรมันนำ “เดอะ เร้ดส์” บุกมาคว้าชัยชนะได้ถึง “โรงละครแห่งความฝัน”
ยิ่งไปกว่านั้น 3 คะแนนในเกมนี้เป็นการเปิดทางสว่างให้กับ ลิเวอร์พูล ในการไต่อันดับขึ้นไปลุ้นท็อปโฟร์ เมื่อพวกเขาเก็บไปแล้ว 60 แต้ม ตามหลัง เชลซี ทีมอันดับ 4 แค่4 คะแนน และแข่งน้อยกว่า 1 เกม
“ข่าวสารวงการฟุตบอลอัพเดทใหม่ล่าสุด ผลบอลสดทุกวัน บทความอัพเดทจาก Ufabet เว็บพนันออนไลน์ “