จะแก้แค้นหรือย้ำแค้น! 5 ประเด็น แมนซิตี้ ปะทะ เชลซี นัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีโอกาสได้แก้มือกับ โธมัส ทูเคิ่ล อีกครั้ง หลังเคยแพ้มาแล้ว 2 แมตช์ในฤดูกาลนี้ แต่ครั้งนี้เป็นเกมที่สำคัญมากๆ เพราะใครพ่ายแพ้นั่นหมายถึงการต้องน้ำตาร่วงเป็นได้เพียงแค่พระรองในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้

เกมนี้จะเล่นกันที่สนาม เอสตาดิโอ โด ดราเกา และแฟนบอลคงจะได้เห็นแท็กติกที่สุดเฉียบคมของทั้งสองกุนซือ เพื่อชิงโทรฟี่ หูกาง และนำกลับไปตั้งโชว์ในสโมสรตัวเอง

1.ไม่มีหน้าเป้าก็มันได้
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เชลซี เป็นสองสโมสรที่สามารถใช้ผู้เล่นตำแหน่งอื่นขึ้นมาทำประตู หรือยืนเป็นกองหน้าได้อย่างสบายๆ โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้หน้าเป้าขนานแท้ทำหน้าที่ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่าย “เรือใบสีฟ้า” คุ้นเคยกับการใช้การเล่น “ฟอลส์ไนน์” อยู่แล้วเพราะมีหลายเกมที่พวกเขาจับหน้าเป้าอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ และ กาเบรียล เชซุส นั่งม้านั่งสำรอง โดยเลือกใช้ เควิน เดอ บรอยน์ กับ แบร์นาโด้ ซิลวา หรือบางครั้งก็ดัน ฟิล โฟเด้น กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ทำหน้าที่เป็นกองหน้าตัวหลอก แท็กติกแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นำมาใช้เพราะก่อนหน้านี้เขาก็ทำบ่อยๆ สมัยที่กุมบังเหียน บาร์เซโลน่า เพียงแต่เจ้าตัวยังไม่เคยนำทีมที่ใช้ระบบนี้แล้วนักเตะสามารถช่วยกันยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนกับที่ แมนฯ ซิตี้ ทำได้ในฤดูกาล 2020/2021 เชลซี มีความเป็นไปได้เช่นกันที่จะเริ่มต้นเกมนี้ด้วยการใช้วิธี “ฟอลส์ไนน์” แม้ โธมัส ทูเคิ่ล อาจจะเลือกส่ง ติโม แวร์เนอร์ เป็นตัวจริงแต่ก็คงจะให้นักเตะยืนลึกหรือไม่ก็ขยับไปเล่นทางฝั่งซ้าย โดยอาจใช้ เมาท์ กับ พูลิซิช หรือ ฮาแวร์ทซ์ ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นผู้เล่นมิดฟิลด์ตัวรุกยืนเป็นแนวรุกให้กับ เชลซี เกมนี้จะเป็นการวัดกันที่แดนกลาง และเป็นการชิงจังหวะการเล่น รวมทั้งการหาพื้นที่ว่างในการส่งบอลให้แนวรุกทำประตู จุดเด่นของ เชลซี ก็คือการเล่นสวนกลับถ้าพวกเขาทำได้เหมือน 2เกมที่เจอกับ แมนฯซิตี้ งานนี้แฟนบอล สิงโตน้ำเงินคราม อาจได้เฮเลยทีเดียว

2.ได้เวลา 2 ดาวรุ่งโชว์ของ
ช่วงที่ผ่านมามีการพูดถึงสองดาวรุ่งฟอร์มแรงอย่างมากในฤดูกาลนี้นั่นก็คือ ฟิล โฟเด้น กับ เมสัน เมาท์ ซึ่งแน่นอนว่าหากทั้งคู่ไม่มีปัญหาบาดเจ็บ คงจะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมนัดชิงถ้วยใบโตยุโรปวันเสาร์นี้ โฟเด้น เป็นสตาร์คนสำคัญในแนวรุกของ แมนฯซิตี้ ฤดูกาลนี้ เป๊ป มักจะใช้งานเขามากกว่า สเตอร์ลิง เนื่องจากชื่นชมการเล่นที่ดุดัน กล้าได้กล้าเสีย และพร้อมวิ่งทะลุทะลวงไม่กลัวคู่แข่ง ที่สำคัญในเกมใหญ่ๆ โฟเด้น พร้อมวิ่งกระชากลากเลื้อยเข้าไปทำประตูได้บ่อยๆ เมาท์ เป็นนักเตะที่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างสุดยอดจนยึดตำแหน่งตัวจริงของ เชลซี ได้สำเร็จแม้ต้นสังกัดจะทุ่มเงินช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาไปมหาศาลกว่า 200 ล้านปอนด์ (ราว 7,600 ล้านบาท) ในการเสริมเกมรุก แต่ เมาท์ สามารถสอดแทรกเข้ามาอยู่ในทีม และเป็นผู้เล่นคีย์แมนด้วย ความสามารถของ เมาท์ บอกเลยว่ามีความหลากหลายมาก ทั้งการเล่นลูกฟรีคิกที่เฉียบคม และการคอยสร้างสรรค์เกม รวมไปถึงการเชื่อมเกมระหว่างแผงมิดฟิลด์กับแนวรุก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เจ้าตัวทำได้อย่างยอดเยี่ยม และนี่คือจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ เชลซี มีโอกาสปราบ แมนฯซิตี้ ได้อีกครั้ง

3.เตรียมความพร้อมในการดวลจุดโทษ
ในเกมนัดชิงชนะเลิศหลายคนคงได้เห็นแล้วว่ามันเป็นแมตช์ที่มีความตึงเครียดมากๆ ฉะนั้นมีโอกาสเหลือเกิดที่ทั้งสองทีมอาจจะพยายามเล่นแบบรัดกุม ยิ่งการที่ทีมจากประเทศเดียวกันมาเจอกันเอง ยิ่งรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี เพราะสู้กันบ่อยๆ ในลีก มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่การตัดสินแชมป์อาจจะยาวไปจนถึงช่วงฏีกาและในกรณีนี้ เชลซี เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะพวกเขาเคยผ่านประสบการณ์เข้าชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ครั้ง และต้องหาแชมป์ด้วยการยิงจุดโทษ ครั้งแรกคือการแพ้ แมนฯยู ในปี 2008 และอีกครั้งชนะ บาเยิร์น มิวนิค ปี 2012 ส่วน แมนฯซิตี้ ยังไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศนัดชิง แต่เรื่องสถิติการยิงจุดโทษของทีมในฤดูกาลนี้ก็ถือว่าพอใช้ได้เพราะพลาดแค่ 4 ครั้งจาก 11 จุดโทษ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นเกมที่ดวลกับ เชลซี โดย อเกวโร่ พยายามยิงจุดโทษ “ปาเนนก้า” แต่ เอดูอาร์ เมนดี้ ไม่หลงทางรับบอลเข้ามือแบบสบาย และทีมก็แพ้ 1-2 ยิ่งการที่ได้เห็น แมนฯยู ดวลจุดโทษยาวกับ บียาร์เรอัล ในนัดชิงยูโรปาลีก ยิ่งทำให้ กวาร์ดิโอล่า จำเป็นต้องมีการกำชับลูกทีมให้ซ้อมยิงจุดโทษ ไม่เว้นแม้แต่ เอแดร์ซอน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดเหมือนกับ เดเคอา

4.วัดกึ๋น “เป๊ป” VS ทูเคิ่ล
นี่คือการพบกันระหว่างสองคนสองคมในวงการลูกหนัง โดยทั้ง เป๊ป และ ทูเคิ่ล ต่างผ่านประสบการณ์โชกโชนในการกุมบังเหียน และได้วัดฝีมือกันอยู่บ่อยๆ สมัยที่ทำงานอยู่ในประเทศเยอรมนี เมื่อ 7 ปีก่อน ทั้งสองคนเคยมีโอกาสพูดคุยกันภายในร้านอาหารแห่งหนึ่งที่นครมิวนิค ซึ่งพวกเขาได้แลกเปลี่ยนแท็กติกลูกหนังกันอย่างเมามันนานหลายชั่วโมง โดยใช้ขวดเกลือ กับพริกไทยเป็นอุปกรณ์ประกอบฉาก ลองนึกภาพดูซิว่าแบบนี้บริกรจะกล้าเข้าไปแทรกในวงสนทนาหรือเปล่า ประสบการณ์และความสำเร็จแน่นอนว่า ทูเคิ่ล เป็นรอง เป๊ป หลายขุมเพราะกุนซือชาวสแปนิช ได้แชมป์รายการใหญ่มาแล้วถึง 31 รายการ ตลอด 13 ปีในอาชีพโค้ช แถมยังผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิส 3 ครั้งแต่นี่คือครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมกับคว้าแชมป์ได้ 2 ครั้งแรกตอนที่อยู่กับบาร์เซโลน่า ทูเคิ่ล กลายเป็นกุนซือคนแรกที่สามารถนำทีมเข้าชิงชนะเลิศได้ติดต่อกันจากสองสโมสร โดยฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขาอดชูโทรฟี่ “บิ๊กเอียร์” เนื่องจากพ่ายแพ้ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค อย่างน่าเสียดาย มันสมองในการวางหมากต้องบอกว่า ทูเคิ่ล มีสถิติเป็นรอง เป๊ป เพราะ 7 ครั้งที่ผ่านมานายใหญ่เลือดกระทิงดุ ชนะ 4 ครั้ง ส่วน กุนซือชาวเยอรมัน ชนะ 2 ครั้ง เสมอ 1 ครั้ง โดยชัยชนะของ เป๊ป เกิดขึ้นในเยอรมันทั้งหมด ทูเคิ่ล เอาชนะ เป๊ป 2ครั้งหลังสุดนั่นก็คือช่วงที่เขาเข้ามาคุม เชลซี โดยสามารถเขี่ย แมนฯซิตี้ ตกรอบรองชนะเลิศ ศึกเอฟเอคัพ และในเกมพรีเมียร์ลีก ที่พลิกสถานการณ์แซงชนะไปได้ งานนี้บอกเลยว่าทั้งสองคนค่อนข้างจะรู้ไส้รู้พุงกันเลยทีเดียว ฉะนั้นหากคนใดคนหนึ่งสามารถวางแท็กติกได้แยบยลมากกว่า มีความเป็นไปได้ที่ ทูเคิ่ล จะตอกย้ำความช้ำ 3 เกมติดต่อกันในซีซั่นเดียวให้ เป๊ป หรือ กุนซือชาวสแปนิช จะแก้เผ็ดได้สำเร็จ

5.บุรุษผู้ครอบครองพื้นดินวัดฝีเท้ากับเพลย์เมกเกอร์ขั้นเทพ
พูดได้เต็มปากว่า ก็องเต้ กับ เดอ บรอยน์ เป็นสองมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลก โดยนัดนี้ทั้งคู่ซึ่งผ่านความเช็คความฟิตเรียบร้อย น่าจะเป็นคีย์แมนสำคัญของ เชลซี กับ แมนฯซิตี้ ในการลุ้นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็องเต้ แสดงให้เห็นมาแล้วหลายต่อหลายเกมโดยเฉพาะในแมตช์ที่ปราบ เรอัล มาดริด รอบตัดเชือก ว่าเขามีพละกำลังเหลือเฟืองในการวิ่งไล่บี้คู่แข่งเพื่อตัดบอล และยังวิ่งหาพื้นที่เพื่อคอยสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนร่วมทีม เดอ บรอยน์ ไม่ได้มีพละกำลังมหาศาลแบบ ก็องเต้ แต่เขามีมันสมองที่สุดเฉียบคมในการสร้างสรรค์เกม และยังสามารถแอสซิสต์รวมไปถึงการขึ้นมาทำประตูเองก็ได้ ซึ่งถือเป็นมิดฟิลด์ที่ครบเครื่องมากๆ สองเกมที่ แมนฯซิตี้ พบ เชลซี ในเกมฟุตบอลอังกฤษ เป็น สิงโตน้ำเงินคราม ที่เก็บชัยเรียบโดย ก็องเต้ ได้รับคำชมที่สามารถเล่นได้อย่างครบเครื่องทั้งรุกและรับ อย่างไรก็ตามแมตช์นี้แฟนบอลทั่วโลกไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่ที่ จอมทัพทีมชาติเบลเยียมจะพลิกสถานการณ์ ซึ่งสิ่งนี้คือทีเด็ดของเขา และมีหลายครั้งที่เจ้าตัวทำได้ ไม่อย่างนั้นนักเตะคงไม่มีสถิติซัด 6 ประตูกับ 12 แอสซิสต์ในซีซั่นนี้ แน่นอนว่า ทูเคิ่ล คงจะใช้ ก็องเต้ ในการไล่บี้ เดอ บรอยน์ ไม่ให้เขาได้มีโอกาสสร้างสรรค์เกม แต่ในขณะเดียวกันหาก เชลซี เปิดพื้นที่ให้ เดอ บรอยน์ ได้มีโอกาสงานนี้เราอาจจะได้เห็นการแอสซิสต์ขั้นเทพหรือการยิงประตูสุดเหลือเชื่อก็ได้

“ข่าวสารวงการฟุตบอลอัพเดทใหม่ล่าสุด ผลบอลสดทุกวัน บทความอัพเดทจาก Ufabet เว็บพนันออนไลน์